Share

รู้ก่อนใคร ไม่ตกเทรนด์! รวม 5 รูปแบบการทำงานที่มาแรงในปี 2023

นับตั้งแต่ปี 2020 มีการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจและสังคมเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้ปัจจุบัน ผู้คนยังคงต้องปรับตัวในหลาย ๆ ด้าน โดยเฉพาะการทำงานที่นายจ้างและลูกจ้างต่างต้องหาวิธีการทำงานแบบใหม่โดยใช้เทคโนโลยี หรือเครื่องมือดิจิทัลเพื่อช่วยผสมผสานการทำงานเข้ากับชีวิตประจำวันของพวกเขา เช่น การทำงานจากที่บ้าน (Work From Home) เป็นต้น และเนื่องมาจากการเปลี่ยนแปลงที่คาดไม่ถึงในอนาคตข้างหน้า เราควรจะต้องเตรียมพร้อมสำหรับการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ

สำหรับคนทำงานด้านเทคโนโลยี หรือใครที่กำลังต้องการเปลี่ยนสายอาชีพ รวมถึง First Jobber ที่กำลังก้าวเข้าสู่อุตสาหกรรมแรงงาน AIGEN ได้รวบรวมเทรนด์การทำงานที่จะเกิดขึ้นในปี 2023 จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย

1. Work from home และ Hybrid work

ถึงแม้ว่าโลกของเราจะกลับเข้าสู่สภาวะปกติมาซักพักแล้ว แต่พนักงานหลาย ๆ คนยังคงชื่นชอบความยืดหยุ่นในการทำงานจากที่บ้านหรือการทำงานจากที่ไหนก็ได้ เพราะทำให้พวกเขาไม่ต้องเสียเวลาตื่นเช้าฝ่ารถติดเพื่อเดินทางเข้าออฟฟิศ อีกทั้งยังสามารถเลือกเวลาการทำงานได้ตามใจชอบ และปรับสมดุลระหว่างการทำงานและการใช้ชีวิตได้ดียิ่งขึ้น

ในปี 2023 การทำงานจึงอาจจะกลายมาเป็นแบบผสมผสานหรือ Hybrid มากยิ่งขึ้น เนื่องจากการเข้าออฟฟิศก็ยังคงสำคัญอยู่มาก จริงอยู่ที่ว่าการทำงานจากที่บ้านช่วยให้เราประหยัดเวลาการเดินทาง และทำงานได้อย่างยืดหยุ่นมากขึ้น แต่อย่าลืมว่าการสื่อสาร และการสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมงานก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เราทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น

2. ตารางการทำงานที่ยืดหยุ่นมากขึ้น

การทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวัน เป็นเวลา 5-6 วันต่อสัปดาห์ อาจจะไม่ใช้แนวทางที่ตอบโจทย์การทำงานของคนในยุคปัจจุบัน รวมถึงก่อให้เกิดการลาออกที่คาดไม่ถึงจากการทำงานที่ส่งผลกระทบต่อ Work Life Balance 

แนวคิดการทำงาน 8 ชั่วโมงต่อวันเป็นแนวคิดที่แต่ละองค์กรควรพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนที่จะนำใช้ เนื่องจากคนทำงานยุคใหม่ให้ความใส่ใจกับการพักผ่อนสุขภาพกายและจิตเพื่อให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นในปี 2023 จะมีแนวโน้มชั่วโมงการทำงานที่ยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น พนักงานสามารถจัดการกับเวลาที่มีอยู่เพื่อทำงานให้บรรลุเป้าหมายและเดดไลน์ได้ และได้ผลลัพธ์งานที่ยอดเยี่ยมมากกว่าผลงานเยอะแต่ไม่มีประสิทธิภาพ

3. ให้ความสำคัญกับการ Reskill และ Upskill

เนื่องจากสภาพแวดล้อมการทำงานในปัจจุบันที่เน้นการแข่งขัน ทำให้ธุรกิจต่างให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะของพนักงานเพื่อเพิ่มศักยภาพและขวัญกำลังใจในการทำงาน จากการวิจัยโดย LinkedIn Learning พนักงาน 94% เลือกที่จะอยู่กับบริษัทเป็นระยะเวลานานขึ้นหากบริษัทนั้นสนับสนุนอาชีพและการทำงานของพวกเขาอย่างจริงจัง และในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า สิ่งนี้จะกลายเป็นเทรนด์ HR ที่โดดเด่นมากขึ้นเช่นกัน

ในปี 2023 นี้ เรากำลังอยู่ในยุค “การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4” ซึ่งเป็นยุคที่ความก้าวหน้าด้านปัญญาประดิษฐ์หรือ AI และระบบอัตโนมัติกำลังเปลี่ยนแปลงวิธีการทำงานของเรา ดังนั้นหากเรามีทักษะที่สามารถตอบสนองความต้องการของธุรกิจในปัจจุบันและอนาคตก็ช่วยให้เรามีความโดดเด่นในหน้าที่การงาน และเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานได้มากยิ่งขึ้น

อ่านบทความ ไปให้สุดอย่าหยุดอยู่กับที่ ! พัฒนาทักษะเดิม (Upskill) เพิ่มทักษะใหม่ (Reskill) ให้ปังกว่าใครในโลกการทำงานยุคใหม่”

4. การว่าจ้างแรงงานผู้สูงอายุ

แม้ว่าในปี 2023  คนรุ่น Zoomers จะเข้ามาทำงานเป็นจำนวนมาก แต่อย่าลืมว่าคนรุ่นมิลเลนเนียล คนเจน X และคนรุ่นเบบี้บูมเมอร์ นั้นเป็นกลุ่มที่เก๋าเกมในการทำงาน มีประสบการณ์ และยังคงมีทักษะที่เป็นที่ต้องการเป็นอย่างมากในตลาดแรงงานปัจจุบัน

แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าในยุคโลกดิจิทัลที่มีการเปลี่ยนแปลงเครื่องมือทางเทคโนโลยีต่างๆ อย่างรวดเร็ว ทำให้แรงงานผู้สูงอายุบางคนนั้นตามไม่ทัน และอาจจะไม่สันทัดในเรื่องเทคโนโลยีเสียเท่าไหร่ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมองค์กรควรพัฒนาทักษะและฝึกอบรมพนักงานให้มีความสามารถเท่าทันกันอยู่เสมอ

5. ให้ความสำคัญกับสุขภาพของพนักงาน

เนื่องจากการระบาดของโรคโควิด 19 ยังไม่หมดไป 100% ดังนั้นในปี 2023 บริษัทจะให้ความสนใจและเน้นย้ำในเรื่องของสุขภาพกายและสุขภาพจิตของพนักงานมากยิ่งขึ้น เพราะการระบาดของโรคนั้นก่อให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งทำให้ระดับความเครียดของผู้คนเพิ่มขึ้นอย่างมาก และความกังวลนี้จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพกายและสุขภาพจิตของพนักงานเป็นอย่างมาก 

เพื่อจัดการกับปัญหานี้ ฝ่ายทรัพยากรบุคคลจึงต้องวางแผนพัฒนาโปรแกรมดูแลสุขภาพให้แก่พนักงานทุกคน เช่น  การตรวจสุขภาพประจำปี การจัดกิจกรรมสันทนาการเพื่อสร้างบรรยากาศในการทำงานที่ดี เป็นต้น

ในปี 2023 นี้ เรายังคงต้องฟื้นตัวจากช่วงสองสามปีที่วุ่นวายจากโรคระบาดโควิด ๅต อย่างไรก็ตาม อนาคตจะยังคงสดใสเสมอหากเราปรับตัวให้เท่าทันเทรนด์การเปลี่ยนแปลงในปัจจุบันและอนาคต

มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับพวกเรา AIGEN !

AIGEN บริษัท Start up ด้านเทคโนโลยี AI และ Machine learning ที่กำลังมาแรงในปัจจุบัน พื้นที่ของคนรุ่นใหม่ไฟแรง เปิดโอกาสในการเรียนรู้ สามารถทำงานแบบ Hybrid และมีวัฒนธรรมองค์กรสมัยใหม่ที่ตอบโจทย์คนยุคใหม่โดยเฉพาะ นอกจากนี้ยังมีสวัสดิการหลักสูตรออนไลน์สำหรับพัฒนาอาชีพ ที่ให้พนักงานสามารถเลือกสรรได้ตามต้องการ

มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับพวกเรา AIGEN 😀 พวกเรากำลังเปิดรับตำแหน่งสายงานทาง Tech ที่น่าสนใจหลายตำแหน่ง ไม่ว่าจะเป็น Data engineer, Machine learning engineer และตำแหน่งอื่น ๆ สามารถดูตำแหน่งงานที่กำลังเปิดรับสมัครได้ที่ 👉 Link

แหล่งอ้างอิง

The Receptionist , Fastcompany , Timesofindia

AIGEN Live chat