Share

5 ตัวอย่างการนำ Generative AI ไปใช้งานกับธุรกิจ

ในช่วงปีที่ผ่านมาปฏิเสธไม่ได้เลยว่า Generative AI เป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการเข้ามาของ ChatGPT หรือแชทบอท AI อัจฉริยะที่สามารถสนทนาโต้ตอบกับมนุษย์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่เรื่องประวัติศาสตร์ ปรัชญา ไปจนถึงแนะนำวิธีการแก้ไขไค้ดของการเขียนโปรแกรม ซึ่ง ChatGPT ถือเป็นส่วนหนึ่งของกระแส Generative AI ที่เป็นระบบที่ถูกออกแบบมาให้สามารถสร้างคอนเทนต์ และเนื้อหาในรูปแบบต่างๆ ได้เหมือนกับมนุษย์ ทั้งในรูปแบบข้อความ เสียง รูป เพลง และโค้ด เรียกได้ว่า Generative AI นั้นจะเข้ามาเปลี่ยนรูปแบบวิธีการทำงานของธุรกิจให้สามารถทำได้แบบอัตโนมัติ พัฒนาการสื่อสาร และความร่วมมือ และให้ข้อมูลเชิงลึกที่จะทำให้ธุรกิจสามารถตัดสินใจได้ดีมากยิ่งขึ้น ในบทความนี้ AIGEN จะพามารู้จักกับ Generative AI ให้มากยิ่งขึ้น พร้อมกับตัวอย่างในการนำ Generative AI ไปประยุกต์ใช้งานกับธุรกิจ

Generative AI คืออะไร

รู้จักกับ Generative AI

Generative AI คือระบบ AI หรือปัญญาประดิษฐ์ประเภทหนึ่งที่ออกแบบมาให้สามารสร้างเนื้อหาใหม่ๆ ที่คล้ายกับที่มนุษย์ได้สร้างขึ้น โดยได้เทรนระบบจากชุดข้อมูลเป็นจำนวนมากทั้งข้อมูลที่อยู่ในรูปแบบของข้อความ รูปภาพ เสียง เพลง หรือโค้ด

โดยที่ Generative AI ถือเป็นส่วนขยายของ Machine learning ในรูปแบบเดิมที่มีการเทรนโมเดลให้สามารถคาดการณ์ และจัดหมวดหมู่ของข้อมูลโดยพิจารณาจากแพทเทิร์นของข้อมูลที่มีอยู่เดิม แต่แทนที่จะคาดการณ์ผลลัพธ์เพียงอย่างเดียว โมเดลของ Generative AI นั้นได้ออกแบบมาให้สามารถระบุรูปแบบ และโครงสร้างของข้อมูล จากนั้นใช้ชุดความรู้นั้นเพื่อสร้างเป็นเนื้อหาใหม่ได้อย่างรวดเร็ว อย่างไรก็ตามความแตกต่างที่สำคัญระหว่าง 2 อย่างนี้คือจำนวน และขนาดของการคาดการณ์ หรือการสร้าง โดยที่ Machine learning ปกติแล้วจะคาดการณ์คำถัดไป ในขณะที่ Generative AI สามารถสร้างพารากราฟ หรือย่อหน้าถัดไปได้

เครื่องมือ Generative AI นั้นได้สร้างความสนใจให้กับภาคธุรกิจได้เป็นอย่างมาก ตั้งแต่เรื่องของการตลาดไปจนถึงการพัฒนาซอฟต์แวร์ ผู้นำขององค์กรต่างๆ ให้ความสนใจเกี่ยวกับประโยชน์ของการนำ Generative AI ไปใช้งานกันมากยิ่งขึ้น

โดย Albert Ziegler ผู้เชี่ยวชาญด้าน Machine learning ของ Github ได้กล่าวว่า “ในความเห็นของผมทุกบริษัทจะได้นำเครื่องมือ Generative AI ไปใช้งานในอนาคตอันใกล้นี้ อย่างน้อยก็ได้นำไปใช้ในทางอ้อม” ตัวอย่างเช่น ร้านเบเกอรี่อาจจะมีโลโก้ที่ดีไซน์เนอร์ได้ทำขึ้นโดยใช้ Generative AI หรือร้านขายถุงเท้าที่อยู่ติดกันอาจจะถามโปรแกรมค้นหาอย่าง Bing ว่าจะสามารถหาซื้อผ้าขนสัตว์บางชนิดได้จากที่ไหนบ้าง รวมไปถึงคนขับแท็กซี่อาจจะสามารถคำนวณภาษีได้โดยใช้ Plugin ของโปรแกรม Excel เป็นต้น และการนำ Generative AI จะเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ 

5 ตัวอย่างการนำ Generative AI ไปใช้งานกับธุรกิจ

ธุรกิจต่างๆ ทั่วโลกต่างกำลังมองหาวิธีที่จะนำ Generative AI ไปใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อตอบโจทย์ความต้องการ และสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับธุรกิจ และนี่คือ 5 ตัวอย่างที่ธุรกิจสามารถนำ Generative AI ไปใช้งานกับธุรกิจได้อ้างอิงจากรายงานของ Forbes

1. การสร้างคอนเทนต์การตลาด

งานการตลาดถือเป็นหนึ่งในส่วนสำคัญของธุรกิจ เพราะท้ายที่สุดแล้วถ้าลูกค้าไม่รู้จักเกี่ยวกับสินค้าและบริการของธุรกิจ หรือไม่รู้ว่าธุรกิจเราทำเกี่ยวกับอะไร ก็มีโอกาสน้อยมากที่ลูกค้าจะมาซื้อสินค้า แต่ในขณะเดียวกันการตลาดไม่ใช่แค่เรื่องของการทำโฆษณาเท่านั้น การตลาดเกี่ยวกับข้อความที่สื่อสารออกไปให้ลูกค้าเข้าใจ การกำหนด Positioning เรื่องราวของแบรนด์ และสำคัญที่สุดการตลาดเป็นเรื่องของการเชื่อมต่อกับหัวใจ และความคิดของผู้ที่มีโอกาสเป็นลูกค้าของคุณ

การตลาดถือเป็นส่วนที่สำคัญของธุรกิจ เนื่องจากเป็นวิธีที่ลูกค้าเรียนรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ และเชื่อมต่อกับผลิตภัณฑ์นั้นทางอารมณ์ และความรู้สึก คอนเทนต์จึงเป็นส่วนที่สำคัญสำหรับการทำการตลาด แต่ในขณะที่การสร้างสรรค์คอนเทนต์แบบเดิมนั้นต้องใช้เวลาเป็นอย่างมาก และบางครั้งก็ต้องอาศัยโชคด้วยเช่นกัน

ด้วยเครื่องมือ Generative AI ทำให้นักการตลาดสามารถที่จะสร้างคอนเทนต์ได้อย่างรวดเร็ว และง่ายมากยิ่งขึ้น รวมถึงมีเวลาที่จะโฟกัสที่ความคิดสร้างสรรค์ได้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็น Jasper AI และ Writer AI ที่สามารถสร้างข้อความทางการตลาด และรูปภาพได้ หรือ Runway ML เครื่องมือในการทำวิดีโอ และคอนเทนต์ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และ Mutiny ที่ใช้ AI ในการสร้าง Conversion ให้กับเว็บไซต์ให้ได้มากที่สุด เป็นต้น

เครื่องมือเหล่านี้จะช่วยให้นักการตลาดสร้างแนวคิดได้อย่างมีประสิทธิภาพ และปรับแต่งเนื้อหาเพื่อความสมบูรณ์แบบได้สะดวก และง่ายมากยิ่งขึ้น

2. การขาย และการพัฒนาการขาย

ถึงแม้ว่าแนวคิด Product-led growth (PLG) นั้นเติบโตขึ้น แต่การขายก็ยังคงเป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยกันอยู่ จึงทำให้พนักงานขายจำเป็นต้องเข้าใจลูกค้า และนำเสนอโซลูชันที่เหมาะกับลูกค้าแต่ละรายได้ โดยเฉพาะกับการขายสินค้า และบริการที่มีมูลค่าสูง เทมเพลตสำหรับการขยายงานขาย และสคริปต์การโทรสามารถช่วยเร่งกระบวนการในการขายได้ แต่มักจะต้องเป็นการประนีประนอมระหว่างคุณภาพ และปริมาณที่จะได้จากการโทรติดต่อลูกค้า 

Generative AI สามารถเปลี่ยนแปลงขั้นตอนเหล่านี้ได้ ด้วยเครื่องมือ Generative AI ทำให้คุณสามารถมีทั้ง 2 อย่างนี้ได้พร้อมๆ กัน ทั้งคุณภาพ และปริมาณ ตัวอย่างเช่น Sellscale ใช้ AI ในการปรับแต่งการขายให้เหมาะกับกลุ่มคนที่ยังไม่เคยใช้สินค้า และบริการได้ในจำนวนมาก และตัวช่วยในการสะกดคำ ตรวจไวยากรณ์ด้วยเทคโนโลยี NLP ของ Gmail ที่จะช่วยทำให้พนักงานขายประหยัดเวลา และมีเวลาไปโฟกัสกับขั้นตอนการขายอื่นๆ ได้มากขึ้น

โดย Generative AI นั้นทำให้ทีมขายสามารถโฟกัสกับคุณภาพงานขาย และปรับแต่งให้เหมาะกับลูกค้าแต่ละรายโดยยังได้ประสิทธิภาพในการทำงานนั่นเอง

3. การสนับสนุนลูกค้าได้แบบอัตโนมัติ

Generative AI ถูกสร้างขึ้นเพื่อมาเปลี่ยนวิธีในการสนับสนุน หรือการให้บริการลูกค้า การให้บริการลูกค้าที่ดีถือเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับการสร้างความจงรักภักดีของลูกค้า แต่การจัดหาทรัพยากรและบุคลากรที่เพียงพออาจเป็นเรื่องท้าทายสำหรับธุรกิจ ซึ่งอาจส่งผลทำให้ใช้เวลานานกว่าจะแก้ไขปัญหาให้ลูกค้าได้ คุณภาพของบริการต่ำ และทำให้ลูกค้าไม่พอใจได้

ในขณะที่เป็นเรื่องที่ยากมากที่จะให้ถูกต้อง เครื่องมือ Generative AI สำหรับการให้บริการลูกค้านั้นถือเป็นวิธีที่ทรงพลังที่จะนำมาใช้ในการให้บริการลูกค้าให้ดียิ่งขึ้น ตัวอย่างเช่น Forethought ได้พัฒนา Generative AI สำหรับการให้บริการลูกค้าเป็นเจ้าแรก โดยที่ระบบ AI ของ Forethought ได้ปรับแต่งโมเดลภาษาขนาดใหญ่จากข้อมูลการให้บริการลูกค้าของธุรกิจ และการแก้ปัญหา และข้อสงสัย หรือช่วยเหลือเจ้าหน้าที่เกี่ยวกับปัญหาที่มีความซับซ้อน หรือ aiKMS ระบบ AI-Powered knowledge management จาก AIGEN ที่รวมความสามารถของเทคโนโลยี NLP และ AI-OCR เข้าด้วยกัน ทำให้ธุรกิจสามารถสร้างเป็นระบบ Customer self-service เพื่อให้ลูกค้าค้นหาข้อมูลที่ต้องการ และสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตนเองในเบื้องต้นได้ โดยที่ไม่ต้องติดต่อไปที่ศูนย์บริการลูกค้าของธุรกิจ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับลูกค้ายุคใหม่ที่ต้องการแก้ไขปัญหา หรือหาข้อมูลที่ต้องการเกี่ยวกับสินค้า และบริการได้ด้วยตนเอง

4. โค้ดเกี่ยวกับภาษาธรรมชาติ และการพัฒนาแอปพลิเคชัน

ถ้าคุณเคยดูภาพยนตร์เรื่อง Minority Report คุณอาจเข้าใจ และเห็นภาพเกี่ยวกับ User interface แห่งอนาคตที่ภาพยนตร์ได้สื่อเอาไว้

ในอดีตการสร้างแอปพลิเคชันนั้นเกี่ยวข้องกับการเขียนโค้ดในภาษาของโปรแกรมมิ่งที่คอมพิวเตอร์สามารถอ่านได้ และเตรียมโครงสร้างสำหรับตรรกะ และฟังก์ชันการทำงานของแอปพลิเคชัน

แต่ Generative AI ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงรูปแบบ หรือวิธีในการพัฒนาแอปพลิเคชัน โดยแทนที่จะเขียนโค้ดในภาษาของคอมพิวเตอร์ แต่นักพัฒนาแอปพลิเคชันสามารถใช้ภาษาธรรมชาติ หรือ natural language ในการสื่อสาร และ AI จะสร้างโค้ดออกมาได้อย่างง่ายดายเหมือนกับที่ AI ได้สร้างคอนเทนต์บทความ หรือคอนเทนต์ของ Shakespeare

Github Copilot และ Arcwise เป็นเครื่องมือที่ช่วยให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถเขียนโค้ดโดยใช้ภาษาธรรมชาติได้ และ Copilot จะเปลี่ยนจากภาษาธรรมชาติเป็นโค้ดให้ ไม่ว่าจะเป็น Javascript หรือ Python และ Arcwise จะเปลี่ยนจากภาษาธรรมชาติเป็นสูตร และ macros สำหรับ spreadsheet ทำให้ธุรกิจสามารถสร้างแอป spreadsheet ที่ทรงพลังได้ โดยที่ Generative AI จะช่วยทำให้ขั้นตอนการพัฒนาแอปพลิเคชันทำได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และทำให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับนักพัฒนาซอฟต์แวร์มือใหม่ที่ต้องการเริ่มสร้างแอปพลิเคชัน

5. ความเป็นส่วนตัวของข้อมูล และข้อมูลสังเคราะห์

Data privacy หรือความเป็นส่วนตัวของข้อมูลมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาข้อมูลส่วนบุคคลที่สามารถระบุตัวตนได้ (PII) ให้ปลอดภัยจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาต หรือการใช้งานในทางที่ผิด จากการเก็บข้อมูลส่วนบุคคลที่เพิ่มมากขึ้นจากธุรกิจต่างๆ ทำให้เรื่อง Data privacy ยิ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ เพื่อหลีกเลี่ยงบทลงโทษทางกฎหมาย และความเสียหายต่อชื่อเสียง บริษัทต้องปฏิบัติตามกฎหมายความเป็นส่วนตัวของข้อมูล เช่น GDPR และ CCPA 

ธุรกิจต่างๆ ใช้ข้อมูลตัวแทนเพื่อสร้างผลิตภัณฑ์และให้บริการ แต่การเข้าถึงนี้อาจส่งผลต่อความเป็นส่วนตัวของลูกค้า อย่างไรก็ตามเครื่องมือ Generative AI อันชาญฉลาดสามารถแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้ Mostly.ai และ Tonic.ai ใช้ Generative AI ในการสร้างข้อมูลสังเคราะห์ (synthetic data) จากข้อมูลจริง เพื่อรักษาความเป็นส่วนตัวในขณะที่สามารถรักษาให้ข้อมูลตรงกับความเป็นจริงให้ได้มากที่สุดเพื่อใช้ในการทดสอบ และเทรนโมเดล AI และ Private AI ทำได้ยิ่งกว่านั้นคือโดยการปกปิดและไม่ระบุ PII ภายในชุดข้อมูล นั่นหมายความว่าสามารถแก้ไขข้อมูลลูกค้าได้อย่างเหมาะสมแม้ในขณะที่ใช้งานจริง

ตัวอย่างการนำ Generative AI ไปใช้งานกับธุรกิจ

ต้องการนำ Generative AI ไปใช้กับธุรกิจของคุณ

Generative AI ถือเป็นอีกหนึ่งสาขาของเทคโนโลยี AI ที่จะเข้ามามีบทบาทสำคัญกับธุรกิจ โดยจะเข้ามาช่วยให้ขั้นตอนการทำงานสามารถทำได้แบบอัตโนมัติได้มากยิ่งขึ้น ลดภาระหน้าที่งานบางอย่างของพนักงาน ทำให้พนักงานมีเวลาโฟกัสกับงานที่ต้องใช้ความคิดสร้างสรรค์ และงานเชิงกลยุทธ์ได้มากขึ้น รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างดี หากธุรกิจของคุณกำลังมองหา Generative AI ไปใช้งานกับธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มขีดความสามารถให้กับธุรกิจของคุณ ผู้เชี่ยวชาญของเรายินดีให้คำปรึกษาตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผน การออกแบบขั้นตอนการทำงาน จนถึงการนำ Generative AI ไปใช้งานให้ประสบผลสำเร็จ ติดต่อเพื่อพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่นี่

AIGEN Live chat