Share

5 เทรนด์ Digital transformation มาแรงในปี 2022 ที่ธุรกิจต้องรู้

ยุคของ Digital transformation ได้มาถึง และมาพร้อมกับนวัตกรรมใหม่ๆนับไม่ถ้วนที่พร้อมให้ธุรกิจได้ค้นหา จากสถานการณ์โรคระบาดโควิด-19 ทำให้ธุรกิจต่างต้องปรับตัว และเร่งมือในการนำเทคโนโลยีใหม่ๆเข้ามาใช้งาน ธุรกิจ หรือองค์กรไหนที่ยังยึดติดกับการทำธุรกิจในรูปแบบเดิมๆอาจจะตกขบวนไปอยู่ข้างทางได้

เพื่อที่จะรักษาความสามารถในการแข่งขันในสภาพแวดล้อมที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว องค์กรจำเป็นต้องปรับกลยุทธ์อย่างรวดเร็ว และยอมรับการเปลี่ยนแปลงที่มีแนวโน้มจะส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ของลูกค้าได้เป็นอย่างมาก นั่นหมายความว่าต้องคอยติดตามเทรนด์ล่าสุดของ Digital transformation อยู่เสมอ โดย Forbes ได้รวบรวม 5 เทรนด์ Digital transformation มาแรงในปี 2022 ให้ธุรกิจได้อัพเดทเทรนด์ และนำไปประยุกต์ใช้กับธุรกิจได้ มีดังต่อไปนี้

เทรนด์ digital transformation สำหรับธุรกิจประจำปี 2022

5 เทรนด์มาแรง Digital transformation ประจำปี 2022

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะสามารถคาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงในด้านใดบ้างที่จะยังคงอยู่ และอะไรที่จะหายไป แต่มีหลายเทรนด์ที่ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่กำหนดอนาคตของ digital transformation ตั้งแต่เทคโนโลยีอัจฉริยะ ได้แก่ เทคโนโลยี AI และ machine learning จนถึงแพลตฟอร์มที่เป็น cloud-based 

เทรนด์เหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งส่งผลกระทบกับวิธีการที่ธุรกิจใช้สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า เรามาดูกันว่าอะไรคือ 5 เทรนด์ที่กำลังมาแรงสำหรับ digital transformation ที่จะมากำหนดอนาคตของธุรกิจ และจะมาช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างไรในปี 2022 นี้

1. เทคโนโลยี Cloud

เทคโนโลยี cloud มีความคืบหน้ามาเป็นเวลาหลายปี และในที่สุดก็ได้รับความนิยม หลายๆบริษัทเริ่มเปลี่ยนโฟกัสจากการใช้ data center ภายในองค์กร หรือ on premise มาเป็นการใช้บริการในรูปแบบ cloud กันมากขึ้น ถือเป็นการกระตุ้นให้เกิด digital transformation ครั้งใหญ่สำหรับธุรกิจทั่วโลก

โดยเทคโนโลยี cloud ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกิจ ทำให้องค์กร หรือธุรกิจสามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทุกที่ และทุกเวลา ทำให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ และสามารถทำโปรเจคร่วมกันได้โดยที่ไม่ต้องเดินทาง หรือมีค่าใช้จ่ายเกี่ยวโครงสร้างพื้นฐานทางกายภาพต่างๆ อีกทั้งระบบ cloud computing ยังช่วยทำให้การจัดเก็บข้อมูลจำนวนมากทำได้ง่ายมากยิ่งขึ้น และสามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากทางไกลได้ในทุกเวลา

2. โมเดลการทำงานแบบผสม หรือ Hybrid

ในยุคของ new normal ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงเป็นอย่างมากกับรูปแบบการทำงาน องค์กรจะต้องมีความคล่องตัว และมีความยืดหยุ่นในการปรับตัวให้เข้ากับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลงไป แนวคิดของรูปแบบการทำงานแบบผสมนั้นเพิ่มสูงขึ้น โดยที่พนักงานสามารถเลือกได้ตามความสะดวกว่าจะทำงานจากที่บ้าน หรือจะเข้าออฟฟิซ โดยผลสำรวจจาก Gallup พบว่า 54% ของพนักงานที่ทำงานจากทางไกลย่างน้อยในบางครั้งกล่าวว่าพวกเขาต้องการแบ่งเวลาระหว่างการทำงานจากที่บ้าน และการทำงานในออฟฟิซ ซึ่งถือเป็นการจัดเตรียมการทำงานแบบ hybrid ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่ เพราะรูปแบบการทำงานแบบ Hybrid ทำให้พนักงานสามารถเลือกทำงานได้ในช่วงเวลาที่พนักงานสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นช่วงเช้า กลางวัน หรือตอนกลางคืน

3. มีการลงทุนในเทคโนโลยี AI และ Machine learning มากขึ้น

ซอฟต์แวร์ที่มี AI เป็นตัวขับเคลื่อนได้กลายมาเป็นกระแสหลักมากขึ้น เนื่องจาก AI ทำให้เครื่องมือ หรือซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการทำงานเหล่านี้ทำงานได้อย่างชาญฉลาด และเป็นอัตโนมัติมากขึ้น  ไม่ว่าจะเป็น AI ประมวลผลเอกสารได้แบบอัตโนมัติ, AI สำหรับงานทางด้านการตลาดและการขาย, AI สำหรับการยืนยันตัวตน และอื่นๆ โดยจะเริ่มเห็นหลายๆองค์กรได้นำเทคโนโลยี AI เหล่านี้ไปใช้กันมากขึ้นซึ่งถือเป็นพาร์ทหนึ่งของการทำ digital transformation นั้นเอง  จากความต้องการที่จะยกระดับประสิทธิภาพในการทำงานจึงได้นำ AI มาใช้งานเพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนทำให้หน้าที่งานบางอย่างสามารถทำได้โดยอัตโนมัติเพื่อปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานให้ดียิ่งขึ้น จากผลสำรวจของ Forbes ในปี 2021 ที่ผ่านมาพบว่า 76% ขององค์กรให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี AI และ Machine learning มาเป็นลำดับต้นๆมากกว่าโซลูชันไอทีในด้านอื่นๆ

4. นโยบายความเป็นส่วนตัวที่โปร่งใส

ประเด็นหลักที่สำคัญของการใช้ชีวิตในยุคดิจิทัล คือการให้ข้อมูลส่วนบุคคล โดยข้อมูลส่วนบุคคลนั้นรวมถึงที่อยู่ อีเมล ข้อมูลบัตรเครดิต และแพทเทิร์นของพฤติกรรม ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงทำให้การคุ้มครองข้อมูลส่วนตัวเหล่านี้ได้กลายเป็นสิ่งที่กังวลใจของลูกค้าในยุคดิจิทัล

ความโปร่งใสไม่ได้ส่งผลดีแต่กับเฉพาะลูกค้าเท่านั้น ยังช่วยทำให้องค์กรหรือธุรกิจเองให้มีความซื่อสัตย์กับสิ่งที่ธุรกิจยึดถือและปฎิบัติอีกด้วย ตัวอย่างเช่น นโยบายความเป็นส่วนตัวปัจจุบันของ Google ได้มีเป็นเอกสารที่ชัดเจนที่ระบุถึงแนวทางปฏิบัติในการรวบรวมข้อมูลทั้งหมด และวิธีการที่ Google ใช้เพื่อปรับเปลี่ยนโฆษณาให้ตรงกับพฤติกรรมของผู้ใช้งานแต่ละคน และส่งมอบบริการที่ดียิ่งขึ้นให้กับผู้ใช้งาน ส่งผลทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกถูกหลอกน้อยลง และได้รับข้อมูลมากขึ้น

5. เทคโนโลยี Blockchain, NFT และ Metaverse

เทคโนโลยีบล็อกเชนมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับ cryptocurrency เช่น bitcoin มากที่สุด อย่างไรก็ตามเทคโนโลยีบล็อกเชนได้ถูกนำไปใช้งานในอีกหลายมิติในธุรกิจเช่นกัน สิ่งสำคัญที่เป็นพื้นฐานที่สุดของ บล็อกเชนคือการยกระดับความปลอดภัยผ่านการบันทึกข้อมูลที่ไม่สามารถแก้ไข เปลี่ยนแปลง และแทรกแซงได้ แต่ในขณะเดียวกันเทคโนโลยีบล็อกเชนนี้ก็สามารถนำไปใช้งานในการที่ธุรกิจจะบริหารจัดการกับ supply chain และการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ รวมไปถึงการจัดการธุรกรรมและสัญญาต่างๆ

และเมื่อปี 2021 ที่ผ่านมาได้มีการเปิดตัว Non-fungible tokens (NFTs) หรือสินทรัพย์ดิจิทัลที่มีความเฉพาะตัว และจัดทำในรูปแบบของบล็อกเชนที่ใช้ในการรักษาความเป็นเจ้าของของสินทรัพย์นั้น ๆ เช่น งานศิลปะดิจิทัล หรือของสะสมต่าง ๆ ในปัจจุบันถึงแม้ว่ายังโฟกัสอยู่แค่ที่งานศิลปะดิจิทัล และเกม แต่ NFT สามารถใช้ได้กับสิ่งอื่นได้เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นอสังหาริมทรัพย์, หุ้น, พันธบัตร หรือสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของข้อมูล

กลยุทธ์การทำ Digital transformation ในองค์กรให้ประสบผลสำเร็จ

เพราะเทคโนโลยีจึงทำให้เกิด digital transformation แต่ธุรกิจหรือองค์กรไม่สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ประสบความสำเร็จหากขาดวิธีคิดและกระบวนการที่ถูกต้อง และสิ่งเหล่านี้เป็นสิ่งที่องค์กรที่บรรลุเป้าหมายในการทำ digital transformation นั้นมีเหมือนกัน

1. มีพันธกิจ และวิสัยทัศน์ที่ชัดเจน

บริษัทที่ประสบความสำเร็จมีวิสัยทัศน์ หรือภาพที่ชัดเจนว่าภายใน 3 ปี 5 ปี บริษัทต้องการจะไปอยู่ที่จุดไหน และให้ความสำคัญแผนการ หรือ roadmap ว่าจะไปถึงจุดนั้นได้อย่างไร

2. ความเชื่อมโยงกัน

บริษัทเหล่านี้มักจะติดต่อประสานงานระหว่างทีมกันได้ง่าย ทั้งในแง่ของกระบวนการ และข้อมูลผ่านการใช้แพลตฟอร์มที่ยืดหยุ่นที่สนับสนุนให้เกิดนวัตกรรมได้อย่างรวดเร็ว

3. สร้างประสบการณ์การให้บริการลูกค้าที่ยอดเยี่ยม

สำหรับการทำธุรกิจในปัจจุบันประสบการณ์ลูกค้าถือเป็นสิ่งที่สร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจได้เป็นอย่างมาก ธุรกิจที่ดีเลิศจะรู้ว่าจะระบุ touchpoint หรือช่องทางที่ติดต่อกับลูกค้าได้อย่างไรที่เป็น touchpoint ที่สำคัญที่สุดสำหรับลูกค้า และให้ความสำคัญกับการให้บริการที่เกินความคาดหวังของลูกค้าอยู่เสมอ

4. ความรวดเร็ว

ในขณะที่ธุรกิจยังคงเร่งตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจต้องลงทุนกับเทคโนโลยีที่ทำให้พวกเขาสามารถจัดการงานต่างๆได้เร็วกว่าแต่ก่อน ด้วยการมีเครื่องมือที่ถูกต้องทำให้ธุรกิจสามารถทำงานได้แบบอัตโนมัติแทนการทำงานแบบแมนนวล ทำให้ขั้นตอนในการขายเร็วขึ้น และสามารถส่งมอบโปรดักส์ได้เร็วกว่าคู่แข่งเจ้าอื่นๆในตลาด

5. นวัตกรรมดิจิทัล

หัวใจสำคัญของทุกธุรกิจที่ประสบความสำเร็จคือวัฒนธรรมที่แข็งแกร่งของการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ในโลกยุคปัจจุบันธุรกิจต่างต้องหาหนทางในการสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งอย่างต่อเนื่องในขณะเดียวกันก็ต้องปรับตัวตามความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาเช่นกัน

ให้ AI เป็นส่วนหนึ่งของการทำ Digital transformation

หากองค์กร หรือธุรกิจของคุณมีแผนที่นำ AI มาใช้ในการ transform องค์กร และยังไม่รู้วางจะต้องเริ่มต้นอย่างไร ผู้เชี่ยวชาญของ AI GEN ยินดีให้คำปรึกษาตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผนนำ AI มาใช้งานจนถึงการนำ AI ไปใช้งานให้ประสบผลสำเร็จ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่นี้

AIGEN Live chat