Share

5 ประโยชน์ของการนำ e-KYC มาใช้งานกับธุรกิจ

การเข้ามาของเทคโนโลยีทำให้พฤติกรรม และวิถีชีวิตของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ทำให้ธุรกิจเองต้องปรับตัวเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคในยุค Next normal ที่ต้องการความสะดวก และรวดเร็วในการใช้บริการ ยิ่งสามารถทำกิจกรรม หรือธุรกรรมได้ผ่านทางสมาร์ทโฟนยิ่งตอบโจทย์ลูกค้าในยุคนี้ จึงเป็นที่มาที่ทำให้หลายธุรกิจได้มีการทำ Digital transformation โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้งานในกระบวนการทำธุรกิจ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และเพิ่มขีดความสามารถให้กับธุรกิจ

โดยหนึ่งในกระบวนการทางธุรกิจที่เป็นสิ่งสำคัญในธุรกิจการเงิน และธนาคารที่มีการนำเทคโนโลยีมาใช้ นั่นคือการยืนยันตัวตน (Know Your Customer) เพื่อที่ใช้ในการระบุ และยืนยันตัวตนของลูกค้าในแต่ละคนในการทำธุรกรรมต่างๆ ซึ่งเดิมทำได้แต่ในรูปแบบออฟไลน์เท่านั้น นั่นคือลูกค้าต้องมาติดต่อที่สาขาธนาคาร หรือสถาบันการเงิน เพื่อกรอกเอกสาร และทำการยืนยันตัวตน แต่ในปัจจุบันด้วยการพัฒนาของเทคโนโลยีทำให้สถาบันทางการเงินหลายแห่งได้เริ่มนำวิธีการยืนยันตัวตนได้ด้วยตัวเองผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (electronic Know Your Customer) มาใช้กันอย่างค่อนข้างแพร่หลาย โดยลูกค้าสามารถยืนยันตัวตนได้เองผ่านช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันของสถาบันการเงินต่างๆ เพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ที่มาใช้บริการ และตอบโจทย์ลูกค้าในยุคดิจิทัล

บริการ e-KYC หรือการทำความรู้จักลูกค้า และยืนยันตัวตนผ่านทางช่องทางอิเล็กทรอนิกส์นั่นได้เข้ามามีบทบาทในการทำธุรกิจในยุคปัจจุบันมากยิ่งขึ้น และมีประโยชน์ต่อธุรกิจหลากหลายด้านทั้งในมุมของการยกระดับการทำธุรกิจในยุค Digitization และยกระดับการให้บริการลูกค้าในยุคดิจิทัล

ประโยชน์ของ e-kyc ที่มีต่อธุรกิจ
ภาพประกอบ : Shutterstock

e-KYC คืออะไร

KYC หรือ Know Your Customer คือการที่ธุรกิจต้องรู้จักตัวตนของลูกค้าที่มาทำธุรกรรมด้วย ไม่ว่าจะเป็นตั้งแต่ขั้นตอนการสมัครทำธุรกรรมครั้งแรก และการยืนยันตัวตนเพื่อทำธุรกรรมในครั้งต่อๆไป ซึ่งทุกวันนี้มีข้อกฎหมายมากมายจากการป้องกันการฟอกเงิน การป้องกันการสนับสนุนการก่อการร้าย หรือเป็นกฎที่ไว้คุ้มครองผู้บริโภคจากการทุจริต ที่บังคับให้ธุรกิจต้องมีการทำ KYC 

ส่วนการทำ e-KYC หรือ electronic KYC นั้นก็คือการทำความรู้จักลูกค้า และลูกค้าสามารถยืนยันตัวตนผ่านทางช่องทางอิเล็กทรอนิกส์ได้นั่นเอง

การทำ KYC โดยทั่วไปต้องครอบคลุมถึง

  • การเก็บ และตรวจสอบความแท้จริงของหลักฐานเอกสารประกอบการยืนยันตัวตน เช่น บัตรประชาชน หรือ เอกสารที่ได้รับการรับรองสำหรับการยืนยันอัตลักษณ์
  • การตรวจสอบว่าลูกค้าเป็นบุคคลคนเดียวกันกับในเอกสารนั้นหรือไม่
  • การเก็บข้อมูลการยืนยันตัวตนไว้อย่างปลอดภัย และสามารถนำมาใช้ได้เมื่อลูกค้ากลับมาทำธุรกรรมใหม่

การทำ e-KYC นั้น สามารถทำได้โดยใช้คนในลักษณะ Face-to-face ผ่านระบบ VDO conference แต่ในทุกวันนี้ การพิสูจน์ตัวตนทางไกลผ่านสมาร์ทโฟนโดยอัตโนมัติจากการใช้เทคโนโลยี AI สามารถทำได้ง่ายมากขึ้น เช่น การเทียบใบหน้าที่ถ่ายจากการเซลฟี่กับรูปถ่ายบนบัตรประชาชนว่าเป็นคนคนเดียวกันหรือไม่ แต่ในบางกรณีที่ธุรกรรมมีความเสี่ยงต่อความเสียหายมาก อาจมีความจำเป็นต้องใช้วิธีที่รัดกุมมากกว่านั้น เช่น การต้องใช้ข้อมูลจาก dip chip ที่ฝังอยู่ในบัตรประชาชนเพื่อยืนยันว่าเป็นตัวบัตรประชาชนของจริง ซึ่งจำเป็นต้องใช้เครื่องอ่านพิเศษตามสาขาหรือตู้ให้บริการตามจุดต่างๆ ทุกวันนี้ ประเทศไทยมีแพลตฟอร์มบริการยืนยันตัวตนรูปแบบดิจิทัล (National Digital ID or NDID) ไว้ให้บริการโดยส่วนใหญ่เป็นธนาคารที่ได้รับอนุญาตการให้บริการการยืนยันตัวตนผ่านแพลตฟอร์มกลางของ NDID ซึ่งเริ่มจากการไปยืนยันตัวตนที่สาขาของธนาคารกับพนักงาน และใช้เครื่องอ่านบัตรประชาชนแบบเอนกประสงค์เพื่อทำการเก็บข้อมูลชีวมิติ ได้แก่ ใบหน้า และหลังจากนั้นสามารถทำการยืนยันตัวตนทางไกลผ่านการใช้ Smart device เช่น สมาร์ทโฟน หรือแท็บเล็ตได้เลยโดยไม่ต้องไปที่สาขา ส่วนธุรกรรมบางอย่างที่ไม่ได้มีความเสี่ยงสูง การทำ e-KYC โดยอัตโนมัติด้วยเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น AI ที่ได้มาตรฐานสากลหรือมาตรฐานที่ยอมรับโดยทั่วไปอย่างเดียวก็อาจเพียงพอ

ขั้นตอนการทำ e-KYC

กระบวนการ e-KYC นั้นเป็นการเปลี่ยนกระบวนการของการยืนยันตัวตนให้มาอยู่ในรูปแบบดิจิทัล และสามารถยืนยันตัวตนแบบทางไกลได้ จากเดิมที่ต้องใช้ระยะเวลาเป็นสัปดาห์ในการตรวจสอบหลักฐานต่างๆในการยืนยันตัวตนเหลือเพียงไม่กี่วินาทีก็สามารถยืนยันตัวตนได้สำเร็จ ทำให้ลดค่าใช้จ่าย และค่าเสียเวลาของพนักงาน รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานอีกด้วย

กระบวนการในการระบุ และยืนยันตัวคนลูกค้านั้นเกิดขึ้นโดยทันทีทันใดทำให้ Conversion rate หรืออัตราการสมัครใช้สินค้าและบริการเพิ่มสูงขึ้น โดยการนำ e-KYC หรือการยืนยันตัวตนแบบอิเล็กทรอนิกส์มาใช้งานนั้นสามารถเพิ่ม Conversion rate ให้กับธุรกิจสูงถึง 84% นอกจากนั้นยังทำให้ลูกค้าได้ประสบการณ์การใช้บริการที่ง่าย สะดวก และราบรื่น รวมถึง e-KYC ยังช่วยยกระดับความพึงพอใจของลูกค้า และทำให้ธุรกิจมั่นใจได้ว่าลูกค้าจะสมัครใช้บริการตั้งแต่ครั้งแรกที่ธุรกิจได้ทำการติดต่อกับลูกค้าไป

เพื่อที่จะสร้างความมั่นใจให้กับธุรกิจว่ากระบวนการ e-KYC ที่นำมาใช้นั่นถูกต้อง และปลอดภัยตามมาตรฐานที่ได้กำหนดไว้ องค์กรหรือธุรกิจจำเป็นต้องจัดเตรียม และนำวิธีปฏิบัติของ e-KYC มาใช้อย่างถูกต้องตามมาตรฐาน Identity Assurance Level (IAL) และ Authentication Assurance Level (AAL) ที่ทางสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA ได้มีการกำหนดไว้

ขั้นตอนการทำ e-KYC
ขั้นตอนการทำ e-KYC

ประโยชน์ของการนำ e-KYC มาใช้กับธุรกิจ

e-KYC มีประโยชน์หลากหลายด้านกับธุรกิจดังต่อไปนี้

  1. ใช้งานง่าย และรวดเร็ว

ความง่ายในการใช้งานถือเป็นประโยชน์ข้อแรกของการนำ e-KYC มาใช้งานในธุรกิจ เนื่องจากเป็นกระบวนการในรูปแบบดิจิทัลที่ลูกค้าสามารถทำได้ด้วยตนเองผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเว็บไซต์ของบริษัท หรือแอปพลิเคชันบนสมาร์ทโฟนได้แบบเรียลไทม์ เช่นการซื้อประกัน เป็นต้น นอกจากนั้นอีกหนึ่งประโยชน์ของ e-KYC ที่เห็นได้อย่างชัดเจนคือความรวดเร็ว เนื่องจากข้อมูลพื้นฐานของลูกค้า เช่น ชื่อ-นามสกุล วันเกิด เพศ ที่อยู่ สามารถดึงข้อมูลได้จากฐานข้อมูล จึงช่วยลดเวลาการที่ลูกค้าจะต้องกรอกฟอร์ม รวมถึงลดเวลาที่พนักงานต้องกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มเข้าไปในระบบได้อีกด้วย

  1. ลดระยะเวลาการ Onboarding และยกระดับประสบการณ์ลูกค้า

ธนาคาร และสถาบันการเงินต่างๆสามารถลดระยะเวลาในการที่ต้องขอข้อมูล และเอกสารต่างๆจากลูกค้าได้เป็นอย่างมากด้วยการสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้อง รวมถึงทำให้ลูกค้าสามารถเข้ามาใช้บริการต่างๆของสถาบันการเงินได้อย่างรวดเร็วมากยิ่งขึ้น และยังสามารถสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการนำข้อมูลที่มีอยู่มาใช้ให้เกิดประโยชน์ นอกจากนั้นสถาบันการเงินยังสามารถมอบประสบการณ์ในการให้บริการลูกค้าได้แบบคงเส้นคงวามากขึ้น และทำให้ลูกค้าพร้อมที่จะใช้บริการธุรกรรมต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการฝากเงิน หรือการซื้อขายหลักทรัพย์ ในขณะเดียวกันยังสามารถนำเสนอบริการในส่วนอื่นๆเพิ่มเติมได้อีกด้วย โดยมีรายงานจากการนำ e-KYC มาใช้งานสามารถลดต้นทุนในการเก็บข้อมูลไปได้ถึงครึ่งหนึ่งเมื่อเทียบกับแต่ก่อน

  1. เพิ่มประสิทธิภาพในกระบวนการทำงาน และประหยัดค่าใช้จ่าย

การนำ e-KYC มาใช้งานช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายให้กับธุรกิจโดยทำให้ธนาคาร และสถาบันทางการเงินสามารถสร้างมาตรฐานและทำให้เทคโนโลยี กระบวนการการทำงาน ข้อมูล และรูปแบบองค์กรทำงานได้แบบอัตโนมัติ อีกทั้งยังสามารถนำข้อมูลมาใช้เป็นเหตุผลในการตัดสินใจทางด้านต่างๆ ทำให้แต่ละหน่วยงานทำงานร่วมกันอย่างราบรื่น และลดการทำงานแบบซ้ำซ้อน รวมถึงลดขั้นตอนกระบวนการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพได้อีกด้วย 

นอกจากนั้นสถาบันการเงินสามารถลดความซ้ำซ้อนในขั้นตอนการ Onboarding  และรีวิวข้อมูลจากการนำ e-KYC มาใช้งาน เนื่องจากขั้นตอนงานในส่วนนี้มีผู้ให้บริการด้าน e-KYC มาจัดการดูแลให้แทน และจากข้อมูลที่ถูกเก็บไว้ในส่วนกลางอย่างปลอดภัย ซึ่งทำให้ลดขั้นตอนต่างๆลงไปได้มากเมื่อเทียบกับวิธีการยืนยันตัวตนในรูปแบบเดิม รวมถึงสามารถลดขั้นตอน หรือ Touchpoint ต่างๆที่จะเกิดขึ้นระหว่างขั้นตอนการ Onboarding เช่น การติดต่อลูกค้า และเซ็นเอกสารต่างๆ จึงทำให้รายได้เข้ามาเร็วมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และแนวโน้มของลูกค้าที่จะหล่นหายไประหว่างทางก็ลดลงเช่นเดียวกัน

ด้วยการใช้ฐานข้อมูลที่เป็นศูนย์กลางที่มีความน่าเชื่อสูง ทำให้สถาบันการเงินสามารถประหยัดเวลาในเรื่องของการจัดการหลังบ้าน (Back office) ไปได้ค่อนข้างมาก รวมถึงยังสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายในการใช้บริการต่างๆที่เดิมเคยใช้บริการได้อีกด้วย

  1. ลดความเสี่ยงในการปฏิบัติงาน

ลดความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากความผิดพลาดในการคีย์ข้อมูลเข้าไประบบแบบแมนนวล รวมถึงลดความซ้ำซ้อนในการคีย์ข้อมูลชุดเดิมเข้าไปในระบบต่างๆภายในองค์กร

  1. เพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจ

ด้วยการเปลี่ยนรูปแบบการยืนยันตัวตนมาเป็นแบบอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-KYC รวมถึงข้อกำหนดในการปฏิบัติตามกฎระเบียบอื่นๆ และการปรับเปลี่ยนขั้นตอนการทำงานให้เป็นรูปแบบอัตโนมัติมากยิ่งขึ้น ทำให้ธนาคารและสถาบันทางการเงินมีกระบวนการทำงานที่ไหลลื่นส่งผลทำให้ต้นทุนในการทำงานลดลง และเปลี่ยนรูปแบบในการ Onboarding ของลูกค้าให้มีความสะดวก และรวดเร็ว ซึ่งถือเป็นการสร้างความแตกต่างอย่างแท้จริง

โซลูชัน AI-Powered e-KYC จาก AI GEN

AI GEN ได้พัฒนาโซลูชัน AI-Powered e-KYC ซึ่งเป็นโซลูชันที่ใช้ในการระบุตัวตน และพิสูจน์ตัวตน (Verification) แทนการทำความรู้จักลูกค้าในระบบเดิม หรือแบบพบเห็นลูกค้าต่อหน้า (Know-Your-Customer : KYC) เพื่อลดขั้นตอนในการทำงาน และลดความยุ่งยากของขั้นตอนการทำความรู้จักลูกค้า โดยสามารถประยุกต์ใช้ได้กับหน่วยงานรัฐ สถาบันทางการเงินตลอดจนธุรกิจด้านบริการต่างๆที่ต้องการรวบรวม และประเมินข้อมูลต่างๆของลูกค้า 

อีกทั้งโซลูชัน AI-Powered e-KYC ยังมีความพิเศษตรงที่เป็นการรวม 2 บริการไว้ในที่เดียว นั่นคือ aiScript ระบบ AI ที่ใช้ในการดึงข้อมูลจากเอกสารประเภทต่างๆ เช่น บัตรประชาชน ใบสมัครต่างๆ ได้แบบอัตโนมัติภายในไม่กี่วินาที และ aiFace ระบบ AI ที่ใช้ในการเปรียบภาพถ่ายใบหน้ากับบัตรประชาชนว่าเป็นบุคคลคนเดียวกันหรือไม่ได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็ว เรียกได้ว่าให้บริการแบบครบวงจรให้กับธุรกิจที่กำลังมองหาโซลูชัน e-KYC ไปใช้งาน นอกจากนั้นยังได้รับรองมาตรฐานสากลจาก NIST ประเทศสหรัฐอเมริกา และมาตรฐานของ ETDA สำหรับไบโอเมตริกซ์ที่จะมีความแม่นยำเป็นพิเศษสำหรับใบหน้าชาวเอเชีย การันตีได้ถึงคุณภาพความแม่นยำ และผลทางธุรกิจที่ตอบโจทย์ธุรกิจที่ต้องการนำโซลูชัน AI-Powered e-KYC ไปใช้งาน 

หากธุรกิจของคุณกำลังมองโซลูชัน AI-Powered e-KYC ไปใช้งานกับธุรกิจเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และยกระดับการทำธุรกรรมให้สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย รวมถึงต้องการที่ปรึกษา และพาร์ทเนอร์คู่คิดให้กับธุรกิจของคุณ ปรึกษาพวกเรา AI GEN (ไอเจ็น) ได้ที่นี้เลยค่ะ

ส่งท้ายบทความ

e-KYC เป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันตอบโจทย์ทั้งในมุมของธุรกิจ และลูกค้าผู้ใช้งาน ในมุมของธุรกิจสามารถลดขั้นตอนความยุ่งยากในการทำงานของพนักงาน และลดเรื่องเอกสารที่ต้องจัดการ รวมถึงเพิ่มรายได้ให้กับธุรกิจเนื่องจากลูกค้าสามารถสมัครใช้งานสินค้าและบริการได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น ในขณะเดียวกันทำให้ธุรกิจสามารถยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าที่มาใช้บริการด้วยบริการที่สะดวก รวดเร็ว และสามารถทำธุรกรรมต่างๆได้ด้วยตัวลูกค้า โซลูชัน e-KYC จึงเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ธุรกิจในยุคปัจจุบันไม่ควรมองข้าม

AIGEN Live chat