Share

10 เทรนด์เทคโนโลยีที่ธุรกิจต้องเตรียมตัวให้พร้อมในปี 2023

ในปี 2023 นี้เทคโนโลยียังคงมีบทบาทสำคัญสำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจในโลกยุคดิจิทัลในการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน และยกระดับประสบการณ์การให้บริการลูกค้าได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังตอบโจทย์การทำธุรกิจที่ต้องการความสะดวก รวดเร็ว และปลอดภัย พร้อมกับสอดคล้องกับพฤติกรรมของการใช้ชีวิตของผู้คนในยุคปัจจุบันที่สามารถทำทุกอย่างได้ผ่านจากสมาร์ทโฟนเพียงเครื่องเดียว  

แล้วในอีก 12 เดือนข้างหน้านี้เทคโนโลยีอะไรบ้างที่จะเข้ามาเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญให้กับธุรกิจ และเทคโนโลยีไหนที่จะได้รับความสนใจจากภาคธุรกิจมากขึ้น รวมถึงมีเทรนด์อะไรบ้างที่ผู้นำทางธุรกิจต้องเตรียมตัวให้พร้อม วันนี้ AIGEN ได้สรุป 10 เทรนด์เทคโนโลยีที่ธุรกิจต้องจับตามองที่ทาง Bernard Marr ที่ปรึกษาธุรกิจชื่อดังของโลกที่เขียนไว้ในรายงานของ Forbes มาให้ธุรกิจได้อ่านเพื่อเป็นแนวทางให้กับธุรกิจได้นำไปปรับใช้

>> อ่านบทความ อัปเดต 7 เทรนด์เทคโนโลยีที่ธุรกิจต้องจับตามองในปี 2024

เทคโนโลยีเทรนด์ที่น่าสนใจประจำปี 2023

10 เทรนด์เทคโนโลยีที่ธุรกิจต้องจับตามองในปี 2023

1. การนำ AI ไปใช้ในทุกที่

ในปี 2023 เทคโนโลยี AI จะกลายเป็นเรื่องที่จับต้องได้ภายในองค์กร โดย AI แบบ No-code เพียงแค่ลาก และวาง จะช่วยทำให้ธุรกิจใช้ประโยชน์จากความสามารถของ AI ในการสร้างสินค้าและบริการอัจฉริยะได้เป็นอย่างดี

เราได้เห็นเทรนด์นี้ในธุรกิจค้าปลีกกันแล้ว บริษัท Stitch fix บริษัทสไตล์ลิสออกแบบเสื้อผ้าแบบรายบุคคลได้นำอัลกอริทึม AI มาใช้ในการแนะนำเสื้อผ้าให้กับลูกค้าตามสไตล์ และไซส์ของลูกค้า

โดยการช้อปปิ้ง และการจัดส่งแบบไร้สัมผัส และอิสระจะเป็นเทรนด์ที่มาแรงในปี 2023 นี้ และด้วยเทคโนโลยี AI ทำให้ลูกค้าสามารถจ่าย และรับสินค้าได้อย่างสะดวก และง่ายดายมากยิ่งขึ้น

นอกจากนั้น AI ยังเข้ามาช่วยยกระดับให้กับแทบทุกหน้าที่งานในทุกอุตสาหกรรมให้สามารถทำงานได้สะดวก และง่ายดายมากยิ่งขึ้น ผู้ค้าปลีกจะนำเทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยจัดการกระบวนการจัดการสินค้าคงคลังให้ทำได้แบบอัตโนมัติกันมากขึ้น ดังนั้นเทรนด์การซื้อของในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ซื้อออนไลน์และรอรับของที่รถ ซื้อออนไลน์และไปรับที่หน้าร้าน ซื้อออนไลน์และคืนที่หน้าร้าน จะกลายเป็นมาตรฐานของการซื้อสินค้า

อีกทั้งเทคโนโลยี AI จะกลายเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่อยู่เบื้องหลังของการจัดส่งสินค้าแบบอัตโนมัติในรูปแบบใหม่ๆ ที่ธุรกิจค้าปลีกกำลังทดลองที่จะนำไปใช้จริง และพนักงานจำนวนมากขึ้นจำเป็นจะต้องเรียนรู้เพื่อทำงานร่วมกับระบบอัจฉริยะเหล่านี้กันมากยิ่งขึ้น

อ่านเพิ่มเติม >> 5 เทรนด์สำคัญของเทคโนโลยี AI ที่ธุรกิจต้องรู้ในปี 2023!

2. ส่วนต่างๆ ของ Metaverse จะกลายเป็นจริง

เมตาเวิร์สได้กลายมาเป็นคำที่ใช้เรียกแทนอินเตอร์เน็ตซึ่งเป็นที่ที่คนสามารถเข้าไปเล่น ทำงาน พูดคุยได้บนแพลตฟอร์มนั้นได้  โดยผู้เชี่ยวชาญคาดการณ์ว่าเมตาเวิร์สนั้นจะเพิ่มมูลค่าสูงถึง 5 ล้านล้านดอลล่าร์ให้กับระบบเศรษฐกิจโลกได้ภายในปี 2023 นี้ และในปี 2023 จะเป็นปีที่กำหนดทิศทางของเมตาเวิร์สในอีก 10 ปีข้างหน้านี้

เทคโนโลยี Augmented reality (AR) และ Virtual reality (VR) ยังคงพัฒนาไปอีกขั้น หนึ่งในนั้นที่น่าจับตามองคือสภาพแวดล้อมการทำงานในเมตาเวิร์ส โดยในปี 2023 จะยังคงมีสภาพแวดล้อมของการประชุมในแบบ Virtual ที่เราสามารถที่จะพูดคุย ออกความเห็น และร่วมมือสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ไปด้วยกัน ในความเป็นจริงแล้วทาง Microsoft และ Nvidia นั้นกำลังร่วมมือกันพัฒนาแพลตฟอร์มเมตาเวิร์สสำหรับโปรเจอดิจิทัลโปรเจคหนึ่งอยู่ 

นอกจากนั้นเราจะได้เห็นเทคโนโลยีอวาตาร์ขั้นสูงกันมากขึ้นในปี 2023 โดยอวาตาร์ หรือสิ่งที่แสดงเป็นตัวเราเมื่อเราพูดคุยกับผู้คนบนเมตาเวิร์สนั้นสามารถเหมือนกับเราในชีวิตจริงได้เช่นกัน และการเคลื่อนไหวจะทำให้อวาตาร์ของเรานั้นสามารถปรับเปลี่ยนภาษากาย และท่าทางที่เป็นเอกลักษณ์ของเราได้ และเรายังอาจเห็นการพัฒนาเพิ่มเติมในอวตารอัตโนมัติที่ขับเคลื่อนโดย AI ที่สามารถแสดงเป็นตัวเราได้ในโลกของเมตาเวิร์ส ถึงแม้ว่าเราจะไม่ได้ล็อกอินเข้าไปในโลกดิจิทัล

โดยที่หลายๆ บริษัทได้นำเทคโนโลยีเมตาเวิร์สไปใช้งานกันแล้ว เช่น AR และ VR เพื่อไปใช้ในการเทรนนิ่ง และ onboard ให้กับพนักงาน และเทรนด์นี้จะองค์กรต่างๆ นำไปใช้กันมากขึ้นในปี 2023 บริษัทที่ปรึกษายักษ์ใหญ่ระดับโลกอย่าง Accenture ได้มีการสร้างเมตาเวิร์สเป็นของตัวเองเป็นที่เรียบร้อยที่มีชื่อเรียกว่า Nth Floor โดยโลกเสมือนแห่งนี้เป็นการจำลองออฟฟิศจริงของ Accenture เพื่อให้พนักงานใหม่ และ พนักงานปัจจุบันสามารถทำสิ่งๆ ต่างที่เกี่ยวกับ HR ได้เองโดยที่ไม่จำเป็นต้องเข้าไปที่ออฟฟิศจริง

3. ความก้าวหน้าของ Web3

เทคโนโลยีบล็อกเชนจะก้าวหน้าอย่างมีนัยสำคัญในปี 2023 เมื่อบริษัทต่างๆ ได้สร้างสินค้าและบริการแบบไร้ตัวกลางกันมากขึ้น ตัวอย่างเช่น ในปัจจุบันเราเก็บข้อมูลทุกอย่างไว้บนคลาวด์ แต่ถ้าเรากระจายข้อมูล และใส่รหัสข้อมูลไว้โดยการใช้บล็อกเชน ไม่เพียงแต่ข้อมูลของเราจะปลอดภัยมากขึ้น แต่เรายังสามารถหาวิธีใหม่ๆ ในการเข้าถึง และวิเคราะห์ข้อมูลได้

Non-fungible tokens (NFTs) จะสามารถใช้งานได้จริงมากขึ้นในปีนี้ ตัวอย่างเช่น ตั๋ว NFT เพื่อดูคอนเสิร์ตจะทำให้คุณสามารถเข้าไปที่หลังเวที และได้ของที่ระลึก นอกจากนั้น NFT อาจจะเป็นสิ่งสำคัญที่เราใช้ในการปฏิสัมพันธ์ในการซื้อสินค้า และบริการดิจิทัลต่างๆ หรือ NFT สามารถใช้เป็นสัญญาที่เราทำกับบุคคลอื่นได้เช่นกัน

4. การเชื่อมต่อระหว่างโลกดิจิทัล และโลกของจริง

เราได้เห็นการเกิดขึ้นของการเชื่อมต่อระหว่างโลกดิจิทัล และโลกของจริงกันมาแล้ว และเทรนด์ยังจะคงดำเนินต่อไปในปี 2023 โดยองค์ประกอบของเชื่อมต่อมีอยู่ 2 อย่างด้วยกันคือ เทคโนโลยี Digital twin และ 3D Printing

Digital twin คือการจำลองวัตถุ หรือสินค้าที่มีอยู่ในโลกที่สามารถใช้ในการทดสอบไอเดียใหม่ๆ ในสภาพแวดล้อมดิจิทัลที่มีความปลอดภัยกว่า ดีไซน์เนอร์ และวิศวกรสามารถใช้ Digital twins ในการสร้างสิ่งที่มีอยู่ในโลกขึ้นมาใหม่ในโลกเสมือน เพื่อที่พวกเขาจะสามารถทดสอบได้ภายใต้ทุกสภาวะโดยที่ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการทดลองในชีวิตจริง ในปี 2023 นี้เราจะได้เห็นการนำเทคโนโลยี Digital twins มาใช้กันมากยิ่งขึ้นตั้งแต่โรงงาน จนถึงเครื่องจักร รถยนต์ ไปจนถึงการดูแลสุขภาพที่เที่ยงตรง และแม่นยำ

หลังจากที่ได้ทำการทดสอบในโลกเสมือนแล้วนั้น วิศวกรสามารถที่จะปรับ และแก้ไขส่วนประกอบต่างๆ เพื่อที่จะนำมาสร้างขึ้นจริงโดยใช้เทคโนโลยี 3D Printing

ตัวอย่างเช่น ตอนนี้ทีมงาน Formula 1 ได้เก็บ และส่งข้อมูลจากเซนเซอร์ในระหว่างการแข่งขัน รวมถึงช่องในการแข่งขัน อุณหภูมิ และสภาพอากาศ เพื่อที่จะดูว่ารถมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างไร หลังจากนั้นพวกเขาจะส่งข้อมูลจากเซนเซอร์ไปยัง Digital twin ของเครื่องยนต์ และส่วนประกอบต่างๆ ของรถ และจำลองออกมาเป็นสถานการณ์ เพื่อเปลี่ยนแปลงการออกแบบได้โดยทันที จากนั้นทีมจึงทำส่วนประกอบของรถด้วย 3D Printing ตามผลของการทดสอบรถ

5. ธรรมชาติที่สามารถแก้ไขได้มากขึ้น

เราจะอาศัยอยู่ในโลกที่สามารถแก้ไข และเปลี่ยนแปลงวัสดุ ต้นไม้ และแม้กระทั่งคนโดยการแก้ไขสิ่งเหล่านั้น ด้วยเทคโนโลยีนาโนจะทำให้เราสามารถสร้าวัสดุที่ประกอบไปด้วยฟีเจอร์ใหม่ๆ เช่น การทนน้ำ และความสามารถในการรักษาตัวเอง

CRISPR-Cas9 ได้มีมาหลายปี แต่ในปี 2023 นี้เราจะได้เห็นการแก้ไขยีนส์ หรือพันธุกรรมที่จะทำให้เราสามารถแก้ไขธรรมชาติด้วยการเปลี่ยน DNA ได้

การแก้ไขพันธุกรรมนั้นทำงานเหมือนกับการประมวลผลคำ โดยที่เราสามารถเอาบางคำออกไป และเพิ่มคำอื่นเข้ามา แต่คุณสามารถทำสิ่งเหล่านี้กับยีนส์ได้เช่นกัน การแก้ไขยีนส์สามารถนำมาใช้กับการกลายพันธุ์ได้ แก้ไขปัญหาแก้แพ้อาหาร เพิ่มความสมบูรณ์ของพืชผล หรือแม้กระทั่งแก้ไขลักษณะของมนุษย์ เช่น สีตาและขน

ควอนตัมเทคโนโลยี

6. ความก้าวหน้าของควอนตัม

ในขณะนี้ได้มีการแข่งขันกันทั่วโลกในการพัฒนาควอนตัมคอมพิวเตอร์กันในวงกว้าง ควอนตัมคอมพิวเตอร์ซึ่งเป็นการใช้อนุภาคของอะตอมเพื่อสร้างวิธีใหม่ในการประมวลผลและการจัดเก็บข้อมูล เป็นการก้าวกระโดดทางเทคโนโลยีที่คาดว่าจะทำให้คอมพิวเตอร์ของเราสามารถทำงานได้เร็วกว่าโปรเซสเซอร์แบบดั้งเดิมที่เร็วที่สุดในปัจจุบันถึงล้านล้านเท่า

โดยอันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากควอนตัมคอมพิวเตอร์ คืออาจทำให้การเข้ารหัสที่เราใช้กันอยู่ในปัจจุบันนั้นไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ดังนั้นประเทศใดก็ตามที่พัฒนาควอนตัมคอมพิวเตอร์ในวงกว้างสามารถทำลายการเข้ารหัสของประเทศ ธุรกิจ ระบบรักษาความปลอดภัย และอื่นๆ ได้ ถือเป็นเทรนด์ที่ต้องจับตามองอย่างระมัดระวังในปี 2023 นี้ เนื่องจากประเทศต่างๆ เช่น สหรัฐอเมริกา สหราชอาณาจักร จีน และรัสเซียต่างลงเงินในการพัฒนาเทคโนโลยีควอนตัม

7. การพัฒนาเทคโนโลยีสีเขียว

หนึ่งในความท้าทายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่โลกกำลังเผชิญอยู่ตอนนี้คือการหยุดปล่อยก๊าซคาร์บอนเพื่อที่จะสามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตการณ์ที่อากาศ

ในปี 2023 เราจะได้เห็นความคืบหน้าของก๊าซไฮโดรเจนสีเขียว (Green Hydrogen) ที่เป็นแหล่งพลังงานเผาไหม้สะอาดแห่งใหม่ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเกือบเป็นศูนย์ บริษัท Shell และ RWE สองบริษัทพลังงานยักษ์ใหญ่ในยุโรปกำลังสร้างท่อส่งสีเขียวขนาดใหญ่แห่งแรกจากโรงงานลมในทะเลเหนือ

นอกจากนี้เรายังจะได้เห็นความคืบหน้าในการพัฒนาโครงข่ายไฟฟ้าแบบกระจายอำนาจอีกด้วย การผลิตพลังงานแบบกระจายโดยการใช้โมเดลนี้ทำให้เกิดเป็นระบบเครื่องกำเนิด และการจัดเก็บไฟฟ้าขนาดเล็กที่อยู่ในชุมชน หรือบ้านคน ซึ่งทำให้พวกเขาสามารถใช้เป็นแหล่งไฟฟ้าได้ถึงแม้จะไม่มีแหล่งไฟฟ้าหลักก็ตาม ในตอนนี้ระบบพลังงานหลักของเราจะถูกครอบครองโดยบริษัทก๊าซ และพลังงานขนาดใหญ่ แต่การเริ่มใช้การกระจายแหล่งของพลังงานออกไปทำให้คนเข้าถึงพลังงานเหล่านี้ได้มากขึ้นในขณะเดียวกันสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนได้อีกด้วย

8. หุ่นยนต์จะเหมือนมนุษย์มากขึ้น

ในปี 2023 หุ่นยนต์จะยิ่งเหมือนมนุษย์มากยิ่งขึ้น ทั้งเรื่องของรูปร่าง และความสามารถ โดยที่หุ่นยนต์ประเภทนี้จะถูกนำมางานชีวิตจริงให้เป็นผู้ทักทายคนที่มาเข้าร่วมงานอีเว้นท์ บาร์เทนเดอร์ เจ้าหน้าที่อำนวยความสะดวก หรือเป็นเพื่อนให้กับผู้สูงอายุ นอกจากนั้นหุ่นยนต์ยังสามารถทำงานที่มีความซับซ้อนในคลังสินค้า และโรงงานได้เมื่อพวกเขาต้องทำงานกับมนุษย์ในไลน์การผลิต และการขนส่งสินค้า

บริษัทแห่งหนึ่งกำลังทำงานกันอย่างหนักเพื่อสร้างหุ่นยนต์ที่เหมือนกับมนุษย์ที่จะมาทำงานในบ้านของเราได้ ในงาน Tesla AI Day ที่จัดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2022 อีลอน มัสก์ ได้เปิดตัว Optimus หุ่นยนต์ต้นแบบที่เหมือนกับมนุษย์ และได้กล่าวว่าบริษัทจะพร้อมรับออเดอร์คำสั่งซื้อหุ่นยนต์ตัวนี้ภายใน 3-5 ปีข้างหน้านี้ โดยหุ่นยนต์ Optimus นั้นสามารถทำได้ตั้งแต่งานบ้านอย่างง่ายๆ เช่น การยกของ และรดน้ำต้นไม้ บางทีในเร็วๆ นี้เราอาจจะมีหุ่นยนต์ผู้ช่วยทำงานบ้านที่คอยช่วยเหลือเราอยู่ในบ้านก็เป็นได้

9. ความก้าวหน้าของระบบอัตโนมัติ

ผู้นำทางธุรกิจยังคงเดินหน้าพัฒนาระบบการทำงานแบบอัตโนมัติ โดยเฉพาะกับการขนส่ง และโลจิสติกส์ หลายๆ โรงงาน และคลังสินค้าได้เริ่มใช้งานระบบกึ่งอัตโนมัติ หรือระบบอัตโนมัติแบบครบวงจรกันแล้ว

ในปี 2023 เราจะได้เห็นรถบรรทุก และเรือแบบไร้คนขับกันมากขึ้น และการใช้หุ่นยนต์ในการจัดส่งสินค้า หรือแม้กระทั่งคลังสินค้า และโรงงานหลายๆ แห่งจะเริ่มนำเทคโนโลยีการทำงานแบบอัตโนมัติมาใช้กันมากขึ้น

Ocado ซุปเปอร์มาร์เก็ตออนไลน์จากประเทศอังกฤษนิยามตัวเองว่าเป็น “ผู้ค้าปลีกของชำออนไลน์รายใหญ่ที่สุดในโลก” ใช้หุ่นยนต์อัตโนมัติมากกว่าพันตัวเพื่อให้สามารถแยกประเภท ยก และย้ายสินค้าได้แบบอัตโนมัติ นอกจากนั้นที่คลังสินค้ายังใช้เทคโนโลยี AI ในการเลือกวางสินค้ายอดนิยมให้หุ่นยนต์เข้าถึงได้ง่าย บริษัท Ocado กำลังเปิดตัวเทคโนโลยีอัตโนมัติที่อยู่เบื้องหลังคลังสินค้าที่ประสบความสำเร็จของพวกเขาให้กับผู้ค้าปลีกรายอื่นๆ ด้วยเช่นกัน

10. เทคโนโลยีแห่งความยั่งยืน

ในที่สุดแล้วเราจะเห็นการผลักดันไปสู่เทคโนโลยีที่ยั่งยืนมากขึ้นในปี 2023 พวกเราส่วนใหญ่จะเสพติดกับเทคโนโลยี เช่น สมาร์ทโฟน แท็บเล็ต และคอมพิวเตอร์ แต่ส่วนประกอบที่ใช้ในการผลิตเครื่องมือ หรืออุปกรณ์ที่เราชื่นชอบนั้นมาจากที่ใดกัน? คนจะเริ่มคิดมากขึ้นว่าส่วนประกอบสำหรับสิ่งต่างๆ เช่น ชิปคอมพิวเตอร์มีต้นกำเนิดมาจากที่ใด และเราควรจะใช้สิ่งเหล่านี้อย่างไร 

นอกจากนั้นเรายังใช้บริการคลาวด์ เช่น Netflix และ Spotify ซึ่งระบบเหล่านี้จำเป็นต้องทำงานใน Data center ขนาดใหญ่ที่ต้องบริโภค หรือใช้พลังงานไฟฟ้าเป็นจำนวนมาก

ในปี 2023 เราจะยังคงเห็นการผลักดันที่ทำให้ Supply chain มีความโปร่งใสมากขึ้น เมื่อผู้บริโภคต้องการให้สินค้า และบริการที่พวกเขาใช้นั้นประหยัดพลังงาน และได้รับการสนับสนุนจากเทคโนโลยีที่ยั่งยืนมากขึ้น

เทคโนโลยีสำหรับธุรกิจในปี 2023

ให้เทคโนโลยีเพิ่มขีดความสามารถให้ธุรกิจของคุณ

เทคโนโลยีเป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในยุคปัจจุบัน และยังเป็นสิ่งที่ทำให้เกิดการทำ Digital transformation ภายในองค์กรต่างๆ เพื่อยกระดับธุรกิจให้ก้าวไปข้างหน้าอีกขั้น และตอบโจทย์กับพฤติกรรมของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงไปจึงทำให้ธุรกิจต้องเตรียมตัวให้พร้อม และวางแผนรับมือกับเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอยู่เสมอ

หากธุรกิจของคุณกำลังมองโซลูชัน AI ที่จะเข้าไปยกระดับการทำงานให้มีประสิทธิภาพได้มากยิ่งขึ้น ผู้เชี่ยวชาญของ AI GEN ยินดีให้คำปรึกษาตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผน การออกแบบขั้นตอนการทำงาน จนถึงการนำการนำโซลูชัน AI ไปใช้งานให้ประสบผลสำเร็จ ติดต่อเพื่อพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่นี่

AIGEN Live chat