5 ไอเดียในการนำเทคโนโลยี AI ไปใช้ในภาคธุรกิจ
ในปัจจุบันเทคโนโลยี AI (Artificial Intelligence) หรือปัญญาประดิษฐ์ ไม่ได้เป็นเรื่องไกลตัวของเราอีกต่อไป เนื่องจากเทคโนโลยี AI ได้แทรกซึมอยู่ในชีวิตประจำวันของมนุษย์ตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอน ตั้งแต่การปลดล็อคหน้าจอโทรศัพท์โดยใช้ Face ID การเล่นโซเชียลมีเดีย เปิดดู Google Maps เพื่อหาเส้นทางที่เดินทางได้รวดเร็วที่สุด และอื่นๆอีกมากมาย ที่ช่วยอำนวยความสะดวกทำให้พวกเราทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้สะดวก และง่ายมากยิ่งขึ้น
รวมถึงในภาคธุรกิจเอง เมื่อดูจากสถิติของการนำเทคโนโลยี AI ในปี 2021 มีตัวเลขสถิติในปี 2019 ที่น่าสนใจจาก Gartner พบว่าองค์กรธุรกิจถึง 1 ใน 3 หรือคิดเป็น 37% จากจำนวนองค์กรทั้งหมดที่ได้ทำการสำรวจ ได้มีการนำเทคโนโลยี AI เข้ามาใช้ภายในองค์กรแล้ว หรือวางแผนที่นำมาใช้งานในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งตัวเลขนี้เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 270% นับจากปี 2015 นอกจากนั้น 44% ของผู้บริหารกล่าวว่าสามารถลดต้นทุนการบริหารจัดการลงได้จากการนำ AI มาใช้ในธุรกิจของตน จากตัวเลขทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่าหลายองค์กรเริ่มหันมาให้ความสนใจ และให้ความสำคัญกับเทคโนโลยี AI กันมากขึ้น โดยเทคโนโลยี AI ได้รับขนานนามจากผู้นำทางธุรกิจด้าน IT ทั่วโลกว่าเป็นเทคโนโลยีที่จะมาสร้างความเปลี่ยนแปลงให้กับธุรกิจมากที่สุด
วันนี้ AI GEN ได้รวบรวมไอเดียในการนำเทคโนโลยี AI ที่น่าสนใจ และเป็นประโยชน์ กับภาคธุรกิจ เพื่อเป็นไอเดียให้กับธุรกิจที่กำลังมองหาเทคโนโลยี AI ไปใช้ รวมถึงต่อยอด และเพิ่มความสามารถในการแข่งขันให้กับธุรกิจในปัจจุบัน และต่อไปถึงในอนาคต
1.ให้ AI ประมวลผลข้อมูลจากเอกสารหลากหลายประเภทได้แบบอัตโนมัติ
หลายๆธุรกิจอาจจะเคยประสบปัญหากับการจัดการเอกสารเป็นจำนวนมาก ที่ต้องใช้ทรัพยากรจำนวนมากในการมาดูแลเรื่องการจัดการเอกสาร ทั้งการรวบรวม การกรอกข้อมูลจากเอกสารเข้าไปในระบบขององค์กร การจัดเก็บเอกสารที่ต้องใช้พื้นที่ในการจัดเก็บเอกสาร ส่งผลทำให้องค์กรมีต้นทุนในการจัดการเรื่องเอกสารแบบแมนนวลสูงถึง 30 ล้านบาทต่อปี อีกทั้งยังอาจทำให้เกิดข้อผิดพลาด และส่งผลต่อประสิทธิภาพในการทำงานโดยรวมอีกด้วย โดยปัญหาหลักอยู่ที่เอกสารโดยส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบของไฟล์ PDF ไฟล์รูปภาพ ไฟล์ Word หรือ Excel ที่ยังต้องใช้พนักงานในการอ่าน ประมวลผล และกรอกข้อมูลเข้าไปในระบบนั่นเอง โดยที่การประมวลผล และดึงข้อมูลที่ต้องการออกมาจากเอกสารเหล่านั้นโดยที่ไม่ต้องใช้พนักงานยังคงเป็นประเด็นหลักที่ต้องหาโซลูชั่นมาแก้ไขปัญหาตรงนี้ให้ได้ และ Gartner ได้คาดการณ์ว่าภายในปี 2025 นี้ 50% ของใบแจ้งหนี้และใบเสร็จรับเงินต่างๆทั่วโลกจะสามารถประมวลผล และดำเนินการโดยที่ไม่ต้องใช้คนเข้ามาเกี่ยวข้องได้ เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยแก้ไขปัญหานี้ให้กับธุรกิจได้ โดยใช้ระบบ Intelligent Document Processing หรือการประมวลผลเอกสารแบบอัจฉริยะ ซึ่งมีเทคโนโลยี AI เป็นผู้อยู่เบื้องหลังสำคัญ ทำให้สามารถดึง และประมวลผลข้อมูลจากเอกสารได้หลากหลายรูปแบบ และในหลากหลายฟอร์แมทข้อมูล โดยระบบ IDP ได้รวมเอาจุดเด่นของเทคโนโลยี OCR (Optical Character Recognition) กับจุดแข็งของเทคโนโลยี AI เข้าด้วยกัน ทำให้ปัญหาเรื่องการต้องสร้างเทมเพลตของเอกสารไว้ล่วงหน้า รวมถึงลดกระบวนการในการทำงานลงได้ ด้วยพลังของระบบ AI ทำให้การดึงข้อมูลทำงานได้อย่างง่ายดาย และการันตีถึงความแม่นยำสูง ระบบ IDP ที่มีเทคโนโลยี AI เป็นตัวขับเคลื่อนสามารถทำให้การประมวลผลเอกสารแบบอัตโนมัติเกิดขึ้นได้ ตั้งแต่การดึงข้อมูลจากเอกสารจนถึงกรอกข้อมูลลงไปในระบบที่ต้องการ
2.ผู้ช่วยเสมือนอัจฉริยะ (Virtual assistant) หรือแชทบอทที่ให้บริการลูกค้าได้แบบ 24 ชั่วโมงโดยไม่ต้องหยุดพัก
ถึงแม้ว่าแชทบอท หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่สามารถสื่อสาร และพูดคุยได้เหมือนกับมนุษย์ เป็นเรื่องที่หลายๆคนอาจจะได้ยินกันมาซักพักแล้ว แต่แชทบอทถือเป็นอีกหนึ่งเทคโนโลยีที่มี AI เป็นผู้อยู่เบื้องหลังสำคัญที่เป็นที่รู้จัก และคุ้นเคยกันในวงกว้างทั้งในมุมของผู้ใช้งาน และในมุมของธุรกิจ สอดคล้องกับตัวเลขสถิติที่ว่า 40% ของมิลเลนเนียล (Millennial) ได้พูดคุยกับแชทบอทอยู่ตลอดในชีวิตประจำวัน และการนำแชทบอทไปใช้งานในภาคธุรกิจนั้นเติบโตถึง 92% นับตั้งแต่ปี 2019
ในแง่ของการนำแชทบอทมาใช้กับธุรกิจนั้น แชทบอทสามารถประยุกต์ใช้งานกับหลากหลายฟังก์ชั่นงาน ตั้งแต่ศูนย์ให้บริการลูกค้า ฝ่ายขาย และการตลาด จนถึงหน่วยงานบริหารทรัพยากรบุคคล หรือ HR โดยที่เรามักจะเห็นกันบ่อยที่สุดคือการนำแชทบอทมาใช้กับการให้บริการลูกค้า โดยการให้ Chatbot เป็น first-tier หรือด่านแรกในการให้บริการลูกค้า เพื่อสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการโดยทำให้ลูกค้าได้รับบริการโดยทันที รวมทั้งในช่วงนอกเวลาทำการแชทบอทก็สามารถให้บริการลูกค้าได้เช่นกัน รวมถึงธุรกิจสามารถใช้แชทบอทในการตอบคำถามที่มักจะมีลูกค้าถามมาซ้ำๆได้ เช่น ราคา สี ช่องทางการสั่งซื้อสินค้า เพื่อลด workload ของพนักงานให้บริการลูกค้า ทำให้พนักงานมีเวลาในการให้บริการลูกค้าที่ต้องดูแลเป็นพิเศษมากขึ้น นอกจากนั้นธุรกิจยังสามารถใช้แชทบอทเป็นช่องทางในการเก็บเสียงตอบรับจากลูกค้า หรือ Voice of customer ได้ เพื่อนำมาปรับปรุงในด้านต่างๆต่อไป ตอบโจทย์การทำธุรกิจในยุค Data-driven หรือการนำข้อมูลมาใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจได้เป็นอย่างดี
3.สร้างประสบการณ์สุดแสนจะประทับใจให้ลูกค้า หรือผู้ใช้งานด้วย Product Recommendation system
Product recommendation system ได้เข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของพวกเราทุกคนโดยที่เราอาจจะไม่รู้ตัว ตั้งแต่การเข้า Facebook และมี notification ขึ้นว่า “อีเว้นท์ที่คุณอาจจะสนใจ” หรือเพิ่มเพื่อน “เพื่อนที่คุณอาจจะรู้จัก” หรือใน Netflix แพลตฟอร์มวิดีโอสตรีมมิ่งชื่อดังจะมีขึ้นว่า “ซีรีส์ หรือหนังอื่นๆที่คุณน่าจะสนใจดู” รวมถึงในแพลตฟอร์ม E-commerce ต่างๆ จะมีแสดงว่า “สินค้าที่คุณอาจจะสนใจ” ซึ่ง Recommendation system ได้สร้างอัลกอริทึ่มเพื่อนำเสนอสินค้า หรือบริการต่างๆที่ผู้ใช้งาน หรือลูกค้าน่าจะสนใจได้แบบรายบุคคล (Personalization) โดยใช้เทคโนโลยี AI ในการวิเคราะห์ประวัติการซื้อสินค้า และการเข้าไปเยี่ยมชมหน้าเว็บไซต์ในแต่ละหน้ามาที่มีอยู่ในฐานข้อมูลของลูกค้าแต่ละคน และด้วยความสามารถของ AI ทำให้ Recommendation system สามารถแนะนำสิ่งที่ลูกค้าแต่ละคนสนใจได้อย่างรวดเร็วสร้างความประทับใจให้กับลูกค้าที่มาใช้บริการ เนื่องจากลูกค้าสามารถหาสินค้าที่ตัวเองต้องการได้ง่าย และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนั้น Recommendation system ยังเป็นเครื่องมือทางการตลาดอันทรงพลัง สำหรับธุรกิจ E-commerce และถือเป็นเครื่องมือที่มีความสำคัญในการเพิ่มยอดขาย และกำไรอีกด้วย จึงเป็นเหตุผลที่ Recommendation system ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในธุรกิจค้าปลีกนั่นเอง นอกจากนั้นระบบ Recommendation system ที่ดีจะต้องสามารถตอบรับกับพฤติกรรมของลูกค้าใหม่ที่เข้ามา และสามารถแสดงผลได้ในสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด รวมถึงสามารถให้ข้อมูลกับผู้ใช้งานเกี่ยวกับโปรโมชั่นพิเศษ และการเปลี่ยนแปลงของสินค้ารวมถึงราคาได้อย่างเหมาะสมกับในแต่ละช่วงเวลา
4.ยืนยันตัวตนด้วยการสแกนใบหน้า ลดการสัมผัสตอบโจทย์การใช้ชีวิตยุคหลังโควิด-19
อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้นนั้นก็คือการสแกนใบหน้า ตั้งแต่การปลดล็อกหน้าจอโทรศัพท์ การยืนยันตัวตนเพื่อรับสวัสดิการจากรัฐบาล หรือการทำธุรกรรมทางการเงิน การสแกนใบหน้าเพื่อเข้าสถานที่ต่างๆ เป็นต้น เหล่านี้ล้วนใช้เทคโนโลยีการจดจำใบหน้า หรือ Facial recognition ที่มี AI และ Machine learning เป็นผู้อยู่เบื้องหลังสำคัญ
โดยเทคโนโลยีการจดจำใบหน้า หรือ Face recognition คือการนำเทคโนโลยี Biometrics มาใช้ในการแยกแยะลักษณะต่างๆบนใบหน้าของมนุษย์เพื่อใช้ในการระบุตัวตนของบุคคลนั้นๆ
โดยมีผลวิจัยจาก Allied Market Research ได้คาดการณ์ว่าตลาดของเทคโนโลยี Facial Recognition จะมีมูลค่าเติบโตถึง 9,600 ล้านดอลล่าร์สหรัฐภายในปี 2022 นี้ โดยในปัจจุบันเทคโนโลยีการจดจำใบหน้าถูกนำมาใช้ในหลากหลายรูปแบบ
ด้วยความสามารถของเทคโนโลยี AI และ Machine learning สามารถที่จะทำความเข้าใจความแตกต่างของลักษณะต่างๆบนใบหน้าได้โดยใช้สูตรทางคณิตศาสตร์ หลังจากนั้นระบบจะมองหาแพทเทิร์นในข้อมูลรูปภาพที่มีอยู่ และเปรียบเทียบรูป และวิดีโอที่ได้มาใหม่กับข้อมูลเดิมที่ถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล เพื่อที่จะสามารถระบุตัวตนของแต่ละบุคคลได้ ทำให้การจำแนก แยกแยะใบหน้า และการยืนยันตัวตนสามารถทำได้อย่างแม่นยำ และรวดเร็วเป็นหลักวินาที จากการเทรนโมเดล AI ให้อ่านใบหน้าคนมาหลากหลายรูปแบบ รวมถึงสามารถทำงานได้ในรูปแบบอัตโนมัติทั้งหมดโดยที่ไม่ต้องใช้คน หรือพนักงานในการยืนยันตัวตน ทำให้รองรับปริมาณการทำธุรกรรมพร้อมๆกันเป็นจำนวนมากได้ ถือเป็นข้อได้เปรียบที่สำคัญของโซลูชั่น AI-Powered Face Recognition
5.คาดการณ์แนวโน้มถึงสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นได้ด้วย Predictive analytics
การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ หรือ Predictive analytics ถือเป็น Use case ของการนำเทคโนโลยี AI มาใช้งานในลำดับต้นๆที่มีความสำคัญกับธุรกิจในหลากหลายอุตสาหกรรม ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจการผลิต สุขภาพและความงาม ค้าปลีก การเงิน และอื่นๆ โดย Predictive analytics คือการนำอัลกอริทึ่มทางสถิติรวมกับข้อมูลทั้งภายในและภายนอก รวมถึงการคาดการณ์เทรนด์ต่างๆที่อาจจะเกิดขึ้น ทำให้ธุรกิจสามารถใช้สินค้าคงคลังที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ปรับปรุงเวลาในการจัดส่งสินค้า เพิ่มยอดขาย จนถึงลดต้นทุนในการดำเนินงาน และเมื่อนำ Predictive analytics จับคู่กับเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ข้อมูลเชิงลึกที่รวบรวมได้จากระบบจะเป็นกุญแจสำคัญในการคาดการณ์ได้อย่างแม่นยำ และทันเวลามากขึ้นในอนาคต
การจับคู่โมเดลการวิเคราะห์เชิงคาดการณ์กับ AI มีความสำคัญอย่างยิ่งในการปรับปรุงความแม่นยำในการพยากรณ์หลังเกิดโรคระบาดโควิด-19 เพราะมีข้อมูลล่าสุดสำหรับทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องนั่นเอง ตัวอย่างเช่น การจัดหาพลาสติกอาจได้รับผลกระทบจากการขาดแคลนวัตถุดิบบางอย่าง เนื่องมาจากภัยพิบัติทางธรรมชาติ หรือการขนส่งที่ล่าช้า รระบบ AI สามารถระบุเหตุการณ์ที่อาจเกิดขึ้นได้ล่วงหน้า ส่งผลทำให้มีข้อมูลประกอบการตัดสินใจมากขึ้น โดยการนำ Predictive analytics
มาใช้ควบคู่กับ AI ช่วยให้ธุรกิจเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้ดียิ่งขึ้น โดยมีสินค้าคงคลังอยู่ในจำนวนที่เหมาะสม เพิ่มโอกาสในการขายสินค้า และลดต้นทุนในการถือครองสินค้าคงคลัง รวมถึงยังช่วยปรับปรุงเวลาในการจัดส่งสินค้า โดยแนะนำเส้นทางในการจัดส่งที่คุ้มค่าที่สุด และสามารถจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าได้อย่างทันเวลา
ส่งท้ายบทความ…
เทคโนโลยี AI ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป ธุรกิจสามารถใช้ประโยชน์จาก AI ได้มากมายหลายด้าน เริ่มต้นจากโจทย์ทางธุรกิจว่าต้องการแก้ไขปัญหา หรือบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจในด้านใด หลังจากนั้นจึงมาพิจารณา และวิเคราะห์ต่อว่าสามารถนำ AI ไปแก้ไขปัญหา หรือเพิ่มประสิทธิภาพให้กับธุรกิจในส่วนใดได้บ้าง เพื่อให้การนำเทคโนโลยี AI ไปใช้กับองค์กรนั้นเกิดประโยชน์สูงสุด และสร้างขีดความสามารถให้กับธุรกิจได้อย่างยั่งยืน
ทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้าน AI อัจฉริยะ พร้อมช่วยขับเคลื่อนการทำงานของธุรกิจ มีประสบการณ์ให้บริการโซลูชัน AI เพื่อองค์กรระดับประเทศมากมาย