เคล็ดลับในการเลือกระบบ Knowledge Management ที่ตอบโจทย์กับองค์กรของคุณ
ในยุคที่ธุรกิจต่างต้องใช้ข้อมูลเป็นสิ่งสำคัญในการขับเคลื่อนองค์กร องค์กรใดมีระบบการจัดการ และการค้นหาข้อมูล รวมถึงการนำข้อมูลไปใช้ต่อยอดได้ดีกว่าย่อมสร้างความได้เปรียบให้กับธุรกิจได้ จึงทำให้ระบบจัดการความรู้ หรือ Knowledge management จึงเข้ามามีบทบาทสำคัญกับการทำธุรกิจในปัจจุบันเป็นอย่างมาก เนื่องจากจะทำให้ธุรกิจสามารถรวบรวม จัดระเบียบ ค้นหา และใช้ประโยชน์จากข้อมูลและความรู้ที่มีอยู่ ช่วยให้พนักงานทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้น และบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่ตั้งไว้
ในบทความนี้ได้รวมระบบจัดการความรู้ยอดนิยม 3 ระบบ ได้แก่ SharePoint Google Workspace และระบบ Knowledge management เพื่อมาเปรียบเทียบให้ดูกันว่าแต่ละระบบนั้นมีข้อดี และข้อจำกัดอย่างไรบ้าง และเหมาะกับการใช้งานในรูปแบบใด เพื่อเป็นข้อมูลให้กับธุรกิจที่กำลังมองหาระบบจัดการความรู้เพื่อนำไปใช้งานในองค์กรว่าเครื่องมือใดตอบโจทย์กับธุรกิจของคุณ
รู้จักกับระบบการจัดการความรู้ภายในองค์กร
ระบบจัดการความรู้ภายในองค์กร หรือ Knowledge management เป็นระบบที่จะรวบรวมข้อมูล และความรู้ต่างๆ ที่มีอยู่ให้อยู่ในที่เดียวกัน เพื่อให้ง่ายต่อการค้นหา และนำข้อมูลไปใช้งานต่อ ซึ่งตอบโจทย์กับธุรกิจยุคใหม่ที่ต้องการนำข้อมูลที่มีอยู่ภายในองค์กรไปใช้งานต่อยอดในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นต่อยอดเป็น AI Chatbot ที่ใช้ตอบคำถามลูกค้าทั้งภายใน และภายนอกองค์กร หรือนำไปต่อยอดเป็นระบบค้นหาข้อมูลจากเอกสาร จนถึงการนำไปใช้เพื่อต่อยอดเป็นระบบ Customer self-service เพื่อให้ลูกค้าใช้ในการค้นหาข้อมูล และแก้ไขปัญหาบางอย่างเบื้องต้นได้ด้วยตัวเอง
นอกจากนั้นด้วยความสามารถของการนำ AI เข้ามาเพิ่มศักยภาพในการทำงานของระบบ หรือที่เรียกว่าระบบ AI-Knowledge management ทำให้ตอบโจทย์การจัดการ และค้นหาข้อมูลภายในองค์กรได้ดีมากขึ้นกว่าเดิม ทำให้ธุรกิจสามารถแปลง และดึงข้อมูลจากไฟล์เอกสารได้อย่างรวดเร็ว และเป็นอัตโนมัติได้มากยิ่งขึ้นด้วยเทคโนโลยี AI-OCR รวมไปถึงทำให้การค้นหาข้อมูลทำได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ สามารถค้นหาได้ทั้งจากคีย์เวิร์ด และค้นหาจากคำถามด้วยความสามารถของเทคโนโลยี NLP พร้อมให้ธุรกิจสามารถนำข้อมูลไปใช้ต่อยอดในด้านต่างๆ ได้ดีมากยิ่งขึ้น
เลือกใช้ระบบ Knowledge management ที่ตอบโจทย์กับธุรกิจ
เครื่องมือการจัดการความรู้ที่องค์กรมักนำมาใช้งานจะมีอยู่ 3 ระบบ ได้แก่ SharePoint Google Workspace และระบบ Knowledge management ซึ่งแต่ละเครื่องมือนั้นจะมีฟีเจอร์ เป้าหมายในการใช้งาน และข้อดี รวมไปถึงข้อจำกัดที่แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับแต่ละธุรกิจว่ามีเป้าหมายในการนำเครื่องมือไปใช้งานเพื่ออะไร และเครื่องมือไหนจะตอบโจทย์กับธุรกิจได้ดีกว่ากัน
1. Microsoft Sharepoint
Microsoft Sharepoint เป็นแพลตฟอร์มพื้นที่เก็บข้อมูลมาตรฐานสำหรับการใช้งานภายในองค์กรเพื่อสร้าง และจัดเก็บเอกสารเป็นหลัก โดย Sharepoint เป็นส่วนหนึ่งของ Microsoft office และจำเป็นต้องใช้ Microsoft suites เพื่อที่จะใช้งานในส่วนของ Sharepoint ได้ โดยที่ Sharepoint ทำให้แต่ละทีม และพนักงานภายในองค์กรนั้นสามารถที่จะดู แก้ไข และแชร์ไฟล์เอกสารภายในบริษัทผ่านทางระบบ Ecosystem ของผลิตภัณฑ์ Microsoft 365 ทั้งหมดได้ ยิ่งถ้าองค์กรของคุณนั้นใช้ผลิตภัณฑ์ของ Microsoft อยู่แล้วยิ่งเป็นเรื่องง่ายในการใช้งาน Sharepoint
ฟีเจอร์การใช้งานที่น่าสนใจของ Sharepoint
- การจัดเก็บไฟล์พื้นฐาน และการทำงานร่วมกัน : ธุรกิจสามารถใช้ Sharepoint ในการสร้างที่จัดเก็บไฟล์พื้นฐาน (Document library) โดยใช้เครื่องมือ Microsoft office ทั้งการสร้างไฟล์ และอัปโหลดไฟล์สามารถทำได้แบบง่ายๆ นอกจากนั้นยังสามารถฟิลเตอร์เพื่อค้นหาเอกสารได้จากชื่อผู้ใช้งาน หรือวันที่ รวมทั้งฟิลเตอร์จากประเภทไฟล์ หรือวันที่ปรับปรุงล่าสุดก็ได้เช่นกัน
- การค้นหาไฟล์ และห้องสมุดไฟล์ (File library) : สามารถค้นหาไฟล์จากการชื่อไฟล์ ชื่อผู้ใช้งาน หรือวันที่ รวมไปถึงฟิลเตอร์จากประเภทไฟล์ หรือวันที่ปรับปรุงล่าสุดก็ได้เช่นกัน
- สร้าง Internal sites เพื่อใช้งานภายในองค์กร : สามารถใช้ Sharepoint ในการสร้าง Internal sites ได้อย่างสะดวก และง่ายดาย โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางด้านเทคนิค เนื่องจากระบบได้มีเทมเพลตมาตรฐานให้เลือกใช้งานได้ทันที เพียงแค่ทำการ Drag & drop ก็สามารถสร้างเว็บไซต์เพื่อใช้สื่อสารภายในองค์กรได้เอง
- กำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูล : สามารถกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลได้เอง ช่วยยกระดับความปลอดภัยในการเข้าถึงข้อมูลได้ดีมากยิ่งขึ้น
- Microsoft ecosystem : ตอบโจทย์ผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Microsoft ได้ดี เนื่องจากสามารถเชื่อมต่อกับ One drive Microsoft office และ Microsoft team ได้ ทำให้ตอบโจทย์การใช้งานภายในองค์กรได้เป็นอย่างดี
ข้อดี และข้อจำกัดของ Sharepoint
ข้อดี
- ตอบโจทย์กับผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Microsoft ได้เป็นอย่างดี
- เชื่อมต่อกับ Microsoft team และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Microsoft ได้ ทำให้แชร์ไฟล์ข้อมูลต่างๆ ทำได้สะดวก และง่ายมากยิ่งขึ้น
- สร้าง Internal sites แบบพื้นฐานเพื่อใช้สื่อสารภายในหน่วยงาน หรือองค์กรได้เอง
- ความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือ
ข้อจำกัด
- ความสามารถในการค้นหาข้อมูลที่มีจำกัด : เนื่องจาก Sharepoint รองรับแค่การค้นหาในระดับของชื่อไฟล์เท่านั้น หากผู้ใช้งานต้องการค้นหาข้อมูลที่อยู่ในไฟล์จะไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก Sharepoint ไม่ได้มีการจัดทำดัชนีของข้อมูลที่อยู่ในไฟล์ต่างๆ ไว้
- ไม่มีการจัดหมวดหมู่ของไฟล์ข้อมูลให้เป็นระบบ ถึงแม้ว่าธุรกิจจะสามารถใช้ Sharepoint ในการสร้าง Internal site เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการความรู้พื้นฐานภภายในทีม หรือภายในองค์กร แต่เมื่อพนักงานเข้ามาใน Internal sites เพื่อค้นหาข้อมูลที่ต้องการแล้วต้องมาเจอกับไฟล์ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้พนักงานต้องเสียเวลาในการเปิดทีละไฟล์ว่าแล้วข้อมูลที่ต้องการนั้นอยู่ในไฟล์ใด
Sharepoint เหมาะกับธุรกิจแบบใด
Sharepoint เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการระบบ Knowledge management ขั้นพื้นฐาน นั่นคือสามารถใช้ในการจัดเก็บ และแชร์ไฟล์ภายในหน่วยงาน หรือภายในองค์กรได้ รวมถึงสามารถใช้ในการค้นหาไฟล์ต่างๆ ได้ รวมถึงสร้าง Internal site แบบมาตรฐานใช้งานภายในองค์กรได้เองแบบง่ายๆ แต่หากต้องการนำระบบ Knowledge management ไปใช้ต่อยอดเพื่อใช้ในการให้บริการลูกค้านั้นอาจจำเป็นต้องใช้ระบบ Knowledge management ขั้นสูงจะตอบโจทย์การทำงานได้ดีมากกว่า
2. Google Workspace
Google workspace เป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่เป็นที่นิยมสำหรับธุรกิจที่นำมาใช้เพื่อให้การทำงานร่วมกันภายในองค์กรทำได้สะดวก และง่ายมากขึ้น ตั้งแต่การรับส่งอีเมลจนถึงเครื่องมือในการทำงานร่วมกัน ไม่ว่าจะเป็น Gmail, Google docs, Google sheets, Google drive เป็นต้น ตอบโจทย์องค์กรยุคใหม่ที่ให้พนักงานสามารถทำงานได้จากที่ไหนก็ได้
ฟีเจอร์การใช้งานที่น่าสนใจของ Google Workspace
- การทำงานร่วมกัน : ถือเป็นฟีเจอร์การใช้งานหลักของ Google workspace ที่ออกแบบมาให้คนภายในองค์กรสามารถทำงานร่วมกันได้เพียงแค่มีอินเตอร์เน็ตก็สามารถเข้าใจงานบริการต่างๆ ได้ โดยเฉพาะการจัดการไฟล์ต่างๆ โดยที่พนักงานสามารถอัปโหลดไฟล์ไว้ใน Google drive กลางขององค์กรเพื่อแชร์ให้คนอื่นๆ สามารถเข้าถึง และค้นหาไฟล์ข้อมูลต่างๆ ได้
- สร้าง Internal site เพื่อใช้งานภายในองค์กร : สามารถสร้าง Internal site เพื่อใช้งานผ่านในองค์กรได้ผ่านทาง Google sites ที่มีเทมเพลตมาตรฐานให้ผู้ใช้งานได้เลือกใช้งาน โดยที่ไม่จำเป็นต้องมีความรู้ทางด้าน Programming ก็สามารถทำได้ เพียงแค่ Drag & Drop สิ่งที่ต้องการไปวางทำให้องค์กรสามารถสร้างเว็บไซต์เพื่อใช้งานภายในองค์กรได้แบบง่ายๆ
- เชื่อมต่อกับ Gemini for workspace : เป็นอีกหนึ่งฟีเจอร์ที่น่าสนใจ เนื่องจากผู้ใช้งานสามารถใช้งาน Gemini หรือ Generative AI ที่ทาง Google ได้พัฒนาขึ้นทำให้การทำงานทำได้อย่างรวดเร็ว และสะดวกมากยิ่งขึ้น
- ความปลอดภัยระดับองค์กร : นอกจากจะสามารถกำหนดสิทธิ์ในการเข้าถึงข้อมูลได้แล้ว องค์กรยังมั่นใจได้ถึงความปลอดภัยของข้อมูลด้วยระบบความปลอดภัยของ Google
ข้อดี และข้อจำกัดของ Google Workspace
ข้อดี
- ตอบโจทย์กับผู้ใช้งานผลิตภัณฑ์ของ Google ได้เป็นอย่างดี
- เชื่อมต่อกับผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของ Google ได้ ทำให้แชร์ไฟล์ข้อมูลต่างๆ ทำได้สะดวก และง่ายมากยิ่งขึ้น
- สร้าง Internal sites แบบพื้นฐานเพื่อใช้สื่อสารภายในหน่วยงาน หรือองค์กรได้เอง
- ความปลอดภัย และความน่าเชื่อถือ
ข้อจำกัด
- ความสามารถในการค้นหาที่จำกัด : เนื่องจาก Google Workspace รองรับแค่การค้นหาในระดับของชื่อไฟล์เท่านั้น หากผู้ใช้งานต้องการค้นหาข้อมูลที่อยู่ในไฟล์จะไม่สามารถทำได้ เนื่องจาก Google Workspace ไม่ได้มีการจัดทำดัชนีของข้อมูลที่อยู่ในไฟล์ต่างๆ ไว้
- ไม่มีการจัดหมวดหมู่ของไฟล์ข้อมูลให้เป็นระบบ : ถึงแม้ว่าธุรกิจจะสามารถใช้ Google sites ในการสร้าง Internal site เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการจัดการความรู้พื้นฐานภายในทีม หรือภายในองค์กร แต่เมื่อพนักงานเข้ามาใน Internal sites เพื่อค้นหาข้อมูลที่ต้องการแล้วต้องมาเจอกับไฟล์ที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก ทำให้พนักงานต้องเสียเวลาในการเปิดทีละไฟล์ว่าแล้วข้อมูลที่ต้องการนั้นอยู่ในไฟล์ใด
Google Workspace เหมาะกับธุรกิจแบบใด
Google Workspace เหมาะกับธุรกิจที่ต้องการเครื่องมือ หรือแพลตฟอร์มในการทำงานร่วมกันภายในองค์กร และต้องการเครื่องมือในการจัดการความรู้ขั้นพื้นฐานที่ใช้ในการรวบรวม และจัดการไฟล์ หรือข้อมูลให้อยู่ในที่เดียวกันที่ทุกคนภายในองค์กรสามารถเข้าถึงข้อมูลได้จากที่ไหน และเวลาได้ก็ได้ แต่หากต้องการเครื่อง
3. ระบบ AI-Knowledge management
ระบบจัดการความรู้ภายในองค์กร หรือระบบ AI-Knowledge management เป็นระบบที่ออกแบบมาเพื่อใช้ในการจัดการความรู้ที่มีอยู่ในองค์กรทั้งหมดที่จัดเก็บอยู่ในรูปแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นไฟล์เอกสาร ลิ้งค์เว็บไซต์ หรือไฟล์คำถาม Q&A ซึ่งนอกจากจะสามารถจัดเก็บข้อมูลเหล่านี้ไว้ในที่เดียวกันได้แล้ว ยังสามารถใช้ ในการค้นหาข้อมูลต่อได้ง่าย และสะดวกมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูลด้วยคีย์เวิร์ด และการถาม-ตอบ ซึ่งเป็นฟีเจอร์ที่ออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับระบบ AI-Knowledge management โดยเฉพาะที่ไม่มีใน Sharepoint และ Google workspace
อีกทั้งธุรกิจสามารถนำระบบ AI-Knowledge management ไปใช้ต่อยอดเป็นระบบค้นหาข้อมูลภายในองค์กร ระบบค้นหาข้อมูลจากเอกสาร และระบบ AI Chatbot จนถึงระบบ Customer self service ได้
ฟีเจอร์การใช้งานที่น่าสนใจของระบบ AI-Knowledge management
- การค้นหาข้อมูล และคำตอบอันทรงพลัง : ผู้ใช้งานสามารถค้นหาคำตอบ หรือข้อมูลที่ต้องการจากไฟล์เอกสาร ลิ้งค์เว็บไซต์ คำถาม Q&A หรือข้อมูลอื่นๆ ได้อย่างสะดวก และง่ายดาย เพียงแค่พิมพ์คีย์เวิร์ด หรือคำถามที่ต้องการถาม และระบบ AI-Knowledge management จะแสดงคำตอบที่ต้องการมาให้อย่างแม่นยำ และรวดเร็ว
- เชื่อมต่อกับ ChatGPT ตอบคำถามได้อย่างเป็นธรรมชาติ : นอกจากจะใช้เทคโนโลยีการประมวลผลภาษาธรรมชาติ (NLP) แล้ว ยังได้เชื่อมต่อกับ ChatGPT เพื่อเพิ่มศักยภาพในวิเคราะห์ และสังเคราะห์การเรียบเรียงคำตอบ และองค์ความรู้ของธุรกิจให้มีความเป็นธรรมชาติมากยิ่งขึ้น เพื่อให้เหมือนกับผู้ค้นหาข้อมูลเองนั้นเหมือนกำลังพูดคุย หรือสอบถามกับพนักงานด้วยกัน
- การจัดเก็บ และแชร์ไฟล์ : ธุรกิจสามารถจัดเก็บไฟล์ต่างๆ ไว้ในระบบ AI-Knowledge management เพื่อรวบรวมไฟล์ และข้อมูลไว้ให้อยู่ในที่เดียวกัน เพื่อนำข้อมูลไปใช้งานต่อได้อย่างสะดวก และรวดเร็ว
- Customization ให้กับแต่ละธุรกิจ : ธุรกิจยังสามารถปรับแต่ง และเพิ่มเติมฟีเจอร์ที่ต้องให้ระบบ AI-Knowledge management ได้เพื่อให้ตอบโจทย์กับการทำงานของธุรกิจ ตัวอย่างเช่น ฟีเจอร์การให้คะแนน (Point) เพื่อกระตุ้นให้พนักงานเข้ามาเรียนรู้จากข้อมูลที่เพื่อนพนักงานได้แชร์ไว้ในระบบ และกระตุ้นการใช้งานของระบบ โดยที่พนักงานสามารถนำคะแนนมาแลกเป็นของรางวัลต่างๆ ได้ เป็นต้น
- ต่อยอดเป็น AI Chatbot ได้ : ธุรกิจสามารถนำระบบ AI-Knowledge management มาต่อยอดเป็น AI Chatbot เพื่อใช้ตอบคำถามลูกค้า และพนักงานภายในองค์กรได้แบบเรียลไทม์ เพื่อให้ AI Chatbot ช่วยคัดกรองลูกค้าให้ในเบื้องต้น รวมถึงช่วยจัดการ Transaction บางอย่างให้ได้ ทำให้พนักงานมีเวลาโฟกัสกับเคสของลูกค้าที่มีความซับซ้อนได้มากยิ่งขึ้น
ข้อดี และข้อจำกัดของระบบ AI-Knowledge management
ข้อดี
- ระบบการค้นหาอันทรงพลัง : ตอบโจทย์ทั้งการค้นหาข้อมูลด้วยคีย์เวิร์ด และการถาม-ตอบ ทำให้การค้นหาข้อมูลภายในองค์กรทำได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ และง่ายมากยิ่งขึ้น
- ระบบการจัดการไฟล์ : นอกจากจะมีระบบการค้นหาที่ตอบโจทย์การทำงานของธุรกิจแล้ว ยังมีระบบการจัดไฟล์ที่ดีที่ทำงานได้เหมือนกับระบบ Shared drive เพื่อให้ธุรกิจใช้ในการจัดเก็บ และแชร์ไฟล์ภายในองค์กร อีกทั้งยังสามารถนำข้อมูลในไฟล์ไปใช้ต่อยอดด้านอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการค้นหาข้อมูล หรือการนำข้อมูลไปใช้ต่อได้
- การเชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ : ถึงแม้ว่าระบบ AI-Knowledge management จะเป็นโปรแกรม Standalone แต่สามารถออกแบบระบบให้เชื่อมต่อกับระบบอื่นๆ ของธุรกิจเพื่อให้ขั้นตอนการทำงานเป็นไปอย่างสะดวก และไหลลื่นได้มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังสามารถต่อยอดเป็น AI Chatbot และระบบ Customer self service ได้เช่นกัน
- ปรับแต่งได้ตามความต้องการของธุรกิจ : ธุรกิจสามารถปรับแต่งฟีเจอร์ได้ตามความต้องการของธุรกิจจากฟีเจอร์มาตรฐานที่มีให้ ทำให้การทำงานมีความยืดหยุ่นได้มากกว่า
ข้อจำกัด
- การลงทุน : อาจจะมีการลงทุนในช่วงแรกในการพัฒนาระบบ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นค่าพัฒนาระบบจะขึ้นอยู่กับ Requirement ของลูกค้า หากต้องการใช้ฟีเจอร์มาตรฐาน และไม่ได้มีการ Customize เพิ่มเติมมากนัก ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาระบบจะไม่ได้สูงมาก และคุ้มค่ากับการลงทุนในระยะยาว
- ระยะเวลาในการพัฒนาระบบ : หากมีการ Customize ระบบ เช่น การเพิ่มฟีเจอร์บางอย่างเพื่อให้ตอบโจทย์กับการทำงานของธุรกิจ อาจจะต้องใช้เวลาในการพูดคุย และสรุป Requirement รวมถึงเวลาในการพัฒนาระบบที่มากขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นอยู่กับการพูดคุย และตกลงกัน
ระบบ AI-Knowledge management เหมาะกับธุรกิจแบบใด
ระบบ AI-Knowledge management เหมาะกับธุรกิจขนาดกลาง และขนาดใหญ่ที่กำลังมองหาระบบจัดการความรู้ขั้นสูง หรือเต็มรูปแบบไปใช้งานกับธุรกิจ ซึ่งนอกจากธุรกิจจะใช้ระบบ AI-Knowledge management ในการจัดเก็บไฟล์ และข้อมูลแล้ว ยังต้องการนำข้อมูลเหล่านี้ไปใช้ต่อยอดในการค้นหาข้อมูล หรือคำตอบที่ต้องการได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาในการค้นหาข้อมูลได้เป็นอย่างมาก รวมทั้งสามารถนำข้อมูลไปใช้ต่อยอดในด้านต่างๆ ได้ดีมากยิ่งขึ้น ทั้งในแง่ของการให้บริการลูกค้า และการนำข้อมูลไปใช้ในการตัดสินใจทางธุรกิจ
สรุปการใช้งาน Sharepoint / Google Workspace / ระบบ AI-Knowledge management
หัวข้อ | Sharepoint | Google Workspace | ระบบ AI-Knowledge management |
1. การทำงานร่วมกัน | – เชื่อมต่อกับโปรแกรมของ Microsoft อื่นๆ ได้ | -เชื่อมต่อกับโปรแกรมของ Google อื่นๆ ได้ | -Standalone program ที่ใช้ในการค้นหาข้อมูล หรือไฟล์ที่ต้องการภายในองค์กร |
2. การจัดการไฟล์ | – จัดการไฟล์ระหว่าง Sharepoint และ Onedrive ได้ – จัดการไฟล์เอกสารใน Document library กำหนด เวอร์ชัน และสิทธิ์ในการเข้าถึงได้ | – จัดการไฟล์ใน Google drive | – จัดการไฟล์ในระบบ AI-Knowledge management |
3. ความสามารถในการค้นหา | – ความสามารถในการค้นหาที่จำกัด – ไม่มีการจัดหมวดหมู่ของไฟล์ข้อมูลให้เป็นระบบ | – ความสามารถในการค้นหาที่จำกัด – ไม่มีการจัดหมวดหมู่ของไฟล์ข้อมูลให้เป็นระบบ | – ระบบการค้นหาอันทรงพลัง – รองรับทั้งการค้นหาด้วยคีย์เวิร์ด และคำถาม-คำตอบ |
4. Customization | ฟีเจอร์มาตรฐาน | ฟีเจอร์มาตรฐาน | – ฟีเจอร์มาตรฐาน – สามารถ Customize ฟีเจอร์เพิ่มเติมได้ตามความต้องการของแต่ละธุรกิจ |
5. การใช้งาน | เหมาะกับการใช้งานภายในองค์กร | เหมาะกับการใช้งานภายในองค์กร | ใช้งานได้ทั้งภายในองค์กร และภายนอกองค์กร |
รู้จักกับ aiKMS ตัวช่วยสำคัญในการจัดการ และค้นหาข้อมูลความรู้ภายในองค์กร
AIGEN ได้พัฒนาระบบ AI-Knowledge management ตอบโจทย์ธุรกิจที่ต้องการยกระดับการค้นหาข้อมูลภายในองค์กรให้ทำได้อย่างสะดวก และรวดเร็วได้มากยิ่งขึ้น ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี NLP และ AI-OCR ทำให้สามารถประมวลผล และแปลงข้อมูลที่อยู่ในไฟล์เอกสาร หรือลิ้งค์ URL ต่างๆ ให้อยู่ในรูปแบบที่สามารถนำมาใช้ในการค้นหาต่อได้อย่างสะดวก และสามารถตอบคำถามได้อย่างเป็นธรรมชาติด้วยความสามารถของเทคโนโลยี NLP และ ChatGPT เพื่อให้พนักงานสามารถนำข้อมูลไปใช้งานต่อได้อย่างสะดวก และรวดเร็วมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งยังสามารถเทรนโมเดล AI ให้สามารถข้อมูลเฉพาะของแต่ละธุรกิจได้ โดยที่ธุรกิจสามารถนำระบบ AI-Knowledge management ไปเชื่อมต่อกับเว็บไซต์ หรือแอปพลิเคชันของธุรกิจเพื่อใช้ในการตอบคำถามลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และเป็นอัตโนมัติได้มากยิ่งขึ้น เพียงแค่อัปโหลดข้อมูลของธุรกิจผ่านระบบหลังบ้าน หรือ Content management system ก็พร้อมใช้งานได้โดยทันที และยังมาพร้อมกับฟีเจอร์การใช้งานที่ครบครัน อำนวยความสะดวกให้กับการทำงานของธุรกิจยุคใหม่ได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็น
- รองรับการอัปโหลดไฟล์ได้หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็น ไฟล์ PDF, Word, Question & Answer (ไฟล์ Excel) และลิ้งค์ URL เว็บไซต์
- ประมวลผลข้อมูล และเรียนรู้ข้อมูลที่มีอยู่ในระบบด้วยเทคโนโลยี AI เพื่อนำไปใช้ในการเลือกแสดงผลคำตอบที่ดีที่สุดเวลาที่ผู้ใช้งานเข้ามาพิมพ์ค้นหาข้อมูลที่ต้องการ
- รองรับการค้นหาทั้งแบบ Keyword search และการถาม-ตอบได้ตามบริบทที่ผู้ใช้งานพิมพ์สอบถามมา
- เชื่อมต่อกับ ChatGPT เพื่อให้สามารถตอบคำถามด้วยภาษาที่สละสลวยได้มากยิ่งขึ้น
- แสดงที่มาของข้อมูล เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถเลือกข้อมูลที่ดีที่สุดได้
- ระบบ Content management system ที่ทำให้ธุรกิจสามารถจัดการข้อมูลได้อย่างง่ายดาย และสะดวก
เลือกโซลูชัน Knowledge management ที่ตอบโจทย์กับธุรกิจของคุณ
ธุรกิจสามารถเลือกเครื่องมือในการจัดการความรู้ หรือระบบ Knowledge management ที่ตอบโจทย์กับขั้นตอนการทำงานของธุรกิจ เพื่อให้การจัดการข้อมูลภายในองค์กรทำได้อย่างสะดวก และรวดเร็วได้มากยิ่งขึ้น รวมถึงหากต้องการเครื่องมือในการจัดการความรู้ขั้นสูง เพื่อนำไปใช้ในการจัดเก็บข้อมูล และต่อยอดด้วยการนำไปใช้ในการค้นหาข้อมูลได้อย่างรวดเร็ว และแม่นยำ สามารถนำระบบ AI-Knowledge management ไปใช้งานเพื่อสร้างความได้เปรียบในการนำข้อมูลไปใช้ต่อยอดในด้านต่างๆ ได้
หากธุรกิจของคุณกำลังมองหาระบบ AI-Knowledge management ไปใช้งาน เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และเพิ่มขีดความสามารถให้กับการค้นหาข้อมูลภายในองค์กรของคุณ ผู้เชี่ยวชาญของเรายินดีให้คำปรึกษาตั้งแต่ขั้นตอนการวางแผน การออกแบบขั้นตอนการทำงาน จนถึงการนำระบบ AI-Knowledge management ไปใช้งานให้ประสบผลสำเร็จ ติดต่อเพื่อพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญของเราได้ที่นี่
ทีมงานผู้เชี่ยวชาญด้าน AI อัจฉริยะ พร้อมช่วยขับเคลื่อนการทำงานของธุรกิจ มีประสบการณ์ให้บริการโซลูชัน AI เพื่อองค์กรระดับประเทศมากมาย