Share

OKR และ KPI ต่างกันยังไง : วิธีใช้เพื่อยกระดับการวัดผลองค์กร

เครื่องมือวัดผล-OKR-ต่างกับ-KPI-อย่างไร

ในยุคที่การแข่งขันทางธุรกิจทวีความเข้มข้นมากขึ้น องค์กรจำเป็นต้องมีเครื่องมือวัดผลที่มีประสิทธิภาพเพื่อขับเคลื่อนการเติบโต นวัตกรรม OKR (Objectives and Key Results) และ KPI (Key Performance Indicators) เป็นสองแนวทางที่ได้รับความนิยมในการบริหารจัดการผลลัพธ์ทางธุรกิจ

OKR เป็นกรอบแนวคิดที่บริษัทชั้นนำระดับโลกใช้เพื่อกำหนดเป้าหมายเชิงกลยุทธ์และผลลัพธ์ที่สามารถวัดได้ ในขณะที่ KPI ยังคงเป็นมาตรฐานสำคัญในการติดตามและประเมินผลการดำเนินงานขององค์กร

บทความนี้จะช่วยให้คุณเข้าใจแนวคิด ความแตกต่าง และแนวทางการนำ OKR และ KPI ไปปรับใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด เพื่อเสริมสร้างศักยภาพในการแข่งขันและนำพาองค์กรของคุณไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน

OKR คืออะไร ?

OKR หรือ Objectives and Key Results คือระบบการบริหารผลงานที่ช่วยองค์กรกำหนดเป้าหมายและวัดความสำเร็จ โดยมีองค์ประกอบสำคัญ ดังนี้

องค์ประกอบของ OKR

• Objectives (O) : เป้าหมายที่มีความหมาย ท้าทาย และสร้างแรงบันดาลใจ
ตัวอย่าง: สร้างประสบการณ์ลูกค้าที่ยอดเยี่ยม

• Key Results (KR) : ผลลัพธ์หลักที่วัดได้เชิงปริมาณ
ตัวอย่าง: เพิ่มคะแนน NPS จาก 32 เป็น 45 ภายในไตรมาสนี้

หลักการสำคัญของ OKR

  • การตั้งเป้าหมายแบบท้าทาย : หากบรรลุเป้าหมายที่ 70-80% ถือว่าประสบความสำเร็จ
  • ความโปร่งใสและการเชื่อมโยงทั่วทั้งองค์กร : OKR มักเปิดเผยการวัดผลให้ทุกคนเห็น
  • รอบการทบทวนที่สั้นลง : มักกำหนดเป็นรายไตรมาส
  • การแยกการวัดผลออกจากการประเมินผลงาน : ไม่เชื่อมโยงกับค่าตอบแทนโดยตรง

OKR ถูกนำมาใช้กับบริษัท Intel เป็นครั้งแรกโดย Andy Grove ในช่วงทศวรรษ 1970 และได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางเมื่อ John Doerr นำแนวคิดนี้ไปแนะนำให้กับ Google ในปี 1999 ปัจจุบัน OKR ถูกนำไปใช้กับบริษัทชั้นนำทั่วโลก เช่น LinkedIn, Twitter, Microsoft และ Airbnb

KPI คืออะไร ?

KPI เป็นตัวชี้วัดผลการดำเนินงานหลักที่องค์กรใช้วัดความสำเร็จในการบรรลุเป้าหมายทางธุรกิจ แบ่งได้เป็น

  1. KPI ด้านผลลัพธ์ เช่น รายได้ กำไร ส่วนแบ่งการตลาด
  2. KPI ด้านกระบวนการ เช่น ระยะเวลาในการผลิต อัตราข้อผิดพลาด
  3. KPI ด้านปัจจัยนำเข้า เช่น งบประมาณ จำนวนชั่วโมงการทำงาน

องค์ประกอบของ KPI ที่มีประสิทธิภาพ

KPI ที่ดีควรมีลักษณะตามหลัก SMART

  • Specific: เฉพาะเจาะจง
  • Measurable: วัดผลได้
  • Achievable: เป็นไปได้
  • Relevant: เกี่ยวข้องกับเป้าหมายองค์กร
  • Time-bound: มีกรอบเวลาชัดเจน

OKR vs KPI – ความแตกต่างที่สำคัญ

ตารางเปรียบเทียบ OKR และ KPI

คุณลักษณะ OKRKPI
จุดประสงค์หลักมุ่งเน้นการพัฒนา นวัตกรรม และการเปลี่ยนแปลงมุ่งเน้นการรักษามาตรฐานและการวัดความสำเร็จ
ระยะเวลามักเป็นรายไตรมาสมักเป็นรายปี
ระดับความท้าทายสนับสนุนเป้าหมายที่ท้าทาย (70-80% ถือว่าดี)ตั้งเป้าหมายที่เป็นไปได้ (คาดหวัง 100%)
การเชื่อมโยงกับผลตอบแทนแยกออกจากการประเมินผลและค่าตอบแทนมักเชื่อมโยงโดยตรงกับการประเมินผล
ความโปร่งใสมักเปิดเผยทั่วทั้งองค์กรอาจจำกัดการเข้าถึง

การใช้ OKR และ KPI ร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ

การผสมผสานจุดแข็งของทั้งสองระบบ

  • KPI สำหรับการรักษามาตรฐาน : ใช้ KPI เพื่อติดตามประสิทธิภาพในกระบวนการหลักและกิจกรรมประจำวัน
  • OKR สำหรับการสร้างนวัตกรรม : ใช้ OKR เพื่อกำหนดทิศทางเชิงกลยุทธ์และผลักดันการเปลี่ยนแปลง

แนวทางการใช้ร่วมกัน

  1. ใช้ KPI เป็นพื้นฐาน และ OKR เพื่อการพัฒนา : ตั้ง KPI เพื่อให้มั่นใจว่าธุรกิจหลักยังคงดำเนินไปได้อย่างราบรื่น ในขณะที่ใช้ OKR เพื่อผลักดันการพัฒนาและนวัตกรรมใหม่ ๆ
  2. เชื่อมโยง OKR กับกลยุทธ์ระยะยาว : ให้ OKR สะท้อนถึงวิสัยทัศน์และกลยุทธ์ระยะยาวขององค์กร โดยแปลงเป้าหมายระยะยาวให้เป็นเป้าหมายระยะสั้นที่วัดผลได้
  3. จัดความสมดุลระหว่างความท้าทายและความเป็นไปได้ : ใช้ KPI สำหรับเป้าหมายที่ต้องบรรลุ 100% และใช้ OKR สำหรับเป้าหมายที่ท้าทาย ซึ่งหากบรรลุไปถึง 70-80% ก็ถือว่าประสบความสำเร็จ
  4. สร้างความชัดเจนในการนำไปใช้ : สื่อสารอย่างชัดเจนว่าตัวชี้วัดใดเป็น KPI (ที่เชื่อมโยงกับการประเมินผล) และตัวชี้วัดใดเป็น OKR (ที่เน้นการพัฒนาและไม่เชื่อมโยงกับการประเมินผลโดยตรง)
  5. ทบทวนและปรับปรุงอย่างสม่ำเสมอ : จัดให้มีการทบทวน KPI และ OKR อย่างสม่ำเสมอ โดย KPI อาจทบทวนเป็นรายเดือนหรือรายไตรมาส ส่วน OKR ควรมีการทบทวนอย่างน้อยทุกไตรมาส
  6. สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้และการพัฒนา : ส่งเสริมให้ทีมมองว่า การไม่สามารถบรรลุถึงเป้าหมาย OKR 100% เป็นโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนา ไม่ใช่ความล้มเหลว
OKR คือเครื่องมือวัดผลที่ช่วยองค์กรกำหนดเป้าหมายและวัดความสำเร็จ

ความท้าทายในการนำ OKR ไปใช้

อุปสรรคที่พบบ่อย

1. การตั้งเป้าหมายที่ไม่ชัดเจนหรือวัดผลไม่ได้
Objectives ที่คลุมเครือหรือ Key Results ที่ไม่สามารถวัดผลได้อย่างเป็นรูปธรรม จะทำให้ทีมสับสนและไม่สามารถประเมินความสำเร็จได้อย่างแท้จริง

2. การตั้ง OKR มากเกินไป
หลายองค์กรพยายามครอบคลุมทุกด้านจนเกิดการกระจายความสนใจ ทำให้ขาดการโฟกัสและประสิทธิภาพ โดยเฉพาะเมื่อเริ่มนำ OKR มาใช้ใหม่ ๆ

3.การไม่ทบทวนอย่างสม่ำเสมอ
หลายองค์กรตั้ง OKR แล้วไม่ติดตามจนถึงสิ้นไตรมาส ทำให้พลาดโอกาสในการปรับแผนและแก้ไขปัญหาตั้งแต่เนิ่น ๆ

เคล็ดลับสู่ความสำเร็จ

1. เริ่มต้นอย่างง่าย
เลือกเป้าหมายสำคัญเพียง 1-3 ข้อก่อน ให้ความสำคัญกับคุณภาพมากกว่าปริมาณ และขยายขอบเขตเมื่อทีมคุ้นเคยกับระบบ OKR มากขึ้น

2. สร้างวัฒนธรรมการเรียนรู้
ส่งเสริมให้ทีมเข้าใจว่าการไม่บรรลุเป้าหมาย OKR 100% ไม่ใช่ความล้มเหลว แต่เป็นโอกาสในการเรียนรู้และปรับปรุง โดยเฉพาะกับเป้าหมายที่ท้าทาย

3. ปรับปรุงกระบวนการอย่างต่อเนื่อง
จัดให้มีการประชุมทบทวนประจำสัปดาห์หรือประจำเดือน เพื่อติดตามความก้าวหน้า แก้ไขอุปสรรค และปรับ Key Results ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง

ยกระดับการติดตาม OKR และ KPI ด้วย AI ประมวลผลเอกสารจาก AIGEN

การติดตามและประเมินผล OKR และ KPI ต้องอาศัยข้อมูลจำนวนมากจากหลากหลายแหล่ง ซึ่งมักกระจัดกระจายอยู่ในรูปแบบเอกสารต่าง ๆ ทั้งรายงาน สเปรดชีต หรือเอกสารการประชุม ทำให้การรวบรวมและประมวลผลข้อมูลเป็นภาระหนักสำหรับทีมงาน ส่งผลให้การติดตาม OKR และ KPI เป็นไปอย่างล่าช้าและอาจไม่ทันต่อการตัดสินใจ

AIGEN นำเสนอ aiScript โซลูชัน AI ประมวลผลเอกสารที่ช่วยให้องค์กรของคุณจัดการกับความท้าทายเหล่านี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยความสามารถในการแปลงข้อมูลจากเอกสารทุกรูปแบบให้เป็นข้อมูลดิจิทัลที่นำไปวิเคราะห์ต่อได้ทันที พร้อมติดตามความก้าวหน้าของ OKR และ KPI แบบเรียลไทม์ เพื่อให้ผู้บริหารมีข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน และทันสมัยสำหรับการตัดสินใจ ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญของ AIGEN วันนี้

ข้อมูลอ้างอิง

  1. OKRs vs. KPIs: Breaking Down The Difference. สืบค้นเมื่อวันที่ 22 เมษายน 2568 จาก https://www.clearpointstrategy.com/blog/okrs-vs-kpis
AIGEN Live chat